บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 3

บทที่ 3 ข่าวร้าย
บทที่ 3 ข่าวร้าย

เฉินซีครุ่นคิดถึงเรื่องกังวลใจ ขณะเขาเดินกลับบ้านอย่างเงียบงัน

เขาไม่อาจปล่อยให้การแยกจากของปู่และน้องชายมาทำให้เขารู้สึกแย่ได้ ตามที่เขาทราบมา สำนักพันกระบี่แห่งเมืองทะเลสาบมังกร ค่อนข้างมีชื่อเสียงในดินแดนทางใต้ และสำนักต่าง ๆ ที่ก่อตั้งภายในเมืองหมอกสนนั้นไม่อาจเทียบเคียงได้เลย

ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา หลังจากแนวทางการบ่มเพาะทั้งหลายถูกพัฒนาจนใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์ มีหลายสิ่งถูกสรรค์สร้างขึ้นมากมาย ซึ่งเหล่าสำนักบ่มเพาะก็เป็นหนึ่งในนั้น

สำนักบ่มเพาะทั้งหลายถูกก่อตั้งขึ้นภายในตัวเมืองหรือนครใหญ่ สำนักเหล่านี้ต่างรับสมัครผู้คนทั้งหลายเพื่อนำมาสั่งสอนความรู้พื้นฐานให้เป็นผู้บ่มเพาะ

ทว่าสำนักเหล่านี้มิได้ปฏิเสธผู้คนตามแต่สถานะทางสังคมของพวกเขา ต่อให้จะเป็นชาวเขา ทาส พ่อค้าผู้มั่งคั่ง หรือคนหาบเร่ทั่วไป ตราบใดที่คนผู้นั้นสามารถจ่ายศิลาวิญญาณได้เพียงพอ คนเหล่านั้นก็สามารถเข้ามาเป็นศิษย์และฝึกฝนในสำนักได้

ประเภทของสำนักนั้นแตกต่างกัน โดยแบ่งตามชื่อของสำนัก

ยกตัวอย่างเช่น สำนักต่าง ๆ ที่ก่อตั้งภายในเมืองหมอกสน ได้แก่ สำนักหลอมยุทธภัณฑ์ สำนักหุ่นเชิด สำนักยันต์อักขระ สำนักแปรธาตุ สำนักพฤษศาสตร์ สำนักฝึกสัตว์และอื่น ๆ

ก่อนหน้านี้ เฉินฮ่าวกำลังฝึกฝนวิชากระบี่พื้นฐานของสำนักกระบี่ดารานภา

อย่างไรก็ตาม แต่ละสำนักย่อมมีขีดจำกัดของตัวเองเช่นกัน สำนักขนาดเล็กจะมีเพียงเคล็ดวิชาพื้นฐานให้ได้เรียนรู้เท่านั้น หากผู้ใดต้องการร่ำเรียนเคล็ดวิชาที่สูงกว่าย่อมต้องเลือกเข้า ‘นิกาย’

นิกายใหญ่ทั้งหลายต่างสร้างขึ้นบนภูเขาที่มีชื่อเสียง ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับแม่น้ำใหญ่อันอุดมไปด้วยปราณวิญญาณ นิกายคือแหล่งรวมอัจฉริยะด้านการบ่มเพาะ ก่อนจะได้เข้าสู่นิกายนั้น ผู้สมัครล้วนต้องเผชิญกับการคัดเลือกอันเข้มงวด

ผู้ที่ไม่มีพรสวรรค์แต่กำเนิดหรือมีรากฐานไม่มั่นคงจะไม่สามารถผ่านการสอบคัดเลือกของนิกายได้ และด้วยข้อกำหนดอันเข้มงวดเหล่านี้ จึงทำให้สำนักทั่วไปมิอาจเทียบเคียงได้นั่นเอง

เฉินซีได้รับรู้ถึงความไม่เป็นธรรมที่เฉินฮ่าวได้รับในหลายปีที่ผ่านมาอย่างแจ่มแจ้ง เป็นเพราะตัวเขาเองที่ทำให้เฉินฮ่าวถูกผู้คนในสำนักเย้ยหยันดูถูก ไม่มีผู้ใดอยากสุงสิงติดต่อกับเฉินฮ่าว และเด็กหนุ่มก็ไม่มีเพื่อนแม้แต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น หากน้องชายของเขาสามารถเข้าสู่นิกายพันกระบี่ได้อย่างเป็นทางการ ย่อมถือเป็นโอกาสอันน่ายินดีสำหรับเฉินฮ่าวที่คลั่งไคล้ในวิชากระบี่อย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่ต้องเอ่ยถึงเลยว่ามันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเส้นทางในอนาคต

เฉินฮ่าวอายุเพียงสิบสองปีในปีนี้ แต่ด้วยพรสวรรค์และสติปัญญาที่ไม่ธรรมดา ทำให้ขณะนี้เขาสามารถฝึกฝนจนถึงขอบเขตสร้างรากฐานขั้นสูงสุดแล้ว และด้วยการชี้แนะอย่างทุ่มเทของผู้เป็นปู่ รากฐานของเฉินฮ่าวจึงแข็งแกร่งกว่าคนรุ่นเดียวกันอย่างหาที่เปรียบมิได้ ดังนั้นบททดสอบการเข้านิกายพันกระบี่จึงย่อมไม่เป็นปัญหา

เมื่อใกล้ถึงบ้าน เฉินซีเห็นเด็กหญิงอายุห้าหรือหกขวบจากระยะไกล ขณะนี้นางนั่งอยู่หน้าประตูบ้านของเขา

เด็กหญิงคนนี้มีผมที่มัดเป็นเปีย นัยน์ตาสีดำสนิทคู่หนึ่ง และมีรูปลักษณ์ที่น่าเอ็นดูมาก

เด็กหญิงรีบวิ่งเข้ามาหาเมื่อนางสังเกตเห็นเฉินซี และถามอย่างตื่นเต้นว่า “พี่เฉินซี เสี่ยวฮ่าวอยู่ที่ใดหรือ ข้านำลูกอมมะนาวที่เขาชื่นชอบมา แต่เขากลับไม่อยู่เสียแล้ว”

เด็กหญิงผู้นี้มีนามว่า ‘ซีซี’ นางเป็นเด็กสดใสและน่าเอ็นดู แต่ด้วยกำพร้าบิดานางจึงอาศัยอยู่แต่กับมารดาของนาง ‘ไป๋หว่านฉิง’ ซึ่งย้ายมาอยู่ที่เมืองหมอกสนเมื่อไม่กี่ปีก่อน พวกนางเป็นเพื่อนบ้านของเฉินซี ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองครอบครัวจึงดีมาก

“เขาไปยังที่ห่างไกลเพื่อร่ำเรียนวิชากระบี่ และอาจจะไม่กลับมาอีกสักพัก”

เฉินซียกมือลูบหัวเล็ก ๆ ของซีซี เขาเอ็นดูเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ผู้มีอายุน้อยกว่าน้องชายของเขาสองสามปีผู้นี้มาก เมื่อใดก็ตามที่เฉินฮ่าวกลับมาจากสำนักดารานภา นางจะคอยเล่นกับเฉินฮ่าวไม่ห่างและยังแบ่งปันขนมให้เป็นครั้งคราว ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการที่ซีซีและมารดาของนางไม่เคยเย็นชาต่อครอบครัวของเฉินซีและไม่เคยถือว่าเฉินซีเป็นตัวอัปมงคล ความไว้วางใจที่ปราศจากแรงจูงใจอื่น ๆ แอบแฝงเช่นนี้ ทำให้เฉินซีให้ความสำคัญกับสองแม่ลูกคู่นี้เป็นพิเศษ

ในขณะที่งุนงง ซีซีเงยหน้าขึ้นมองขณะที่นางถาม “ที่ห่างไกล? ที่ห่างไกลนั้นอยู่แห่งหนใด?”

เฉินซีคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “สถานที่ที่เจ้ายังไม่สามารถไปได้เรียกว่าที่ห่างไกล แต่เมื่อซีซีโตขึ้นเจ้าจะสามารถไปที่นั่นได้”

ซีซีอุทานดัง “โอ้” ก่อนจะหมดกำลังใจและทำหน้าเศร้าซึม

เฉินซีปลอบโยนนางและกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าไม่เข้าไปเล่นในบ้านของข้าก่อนเล่า?”

ดวงตาของซีซีส่องประกาย “เย้~ ข้าอยากเห็นพี่เฉินซีประดิษฐ์ยันต์!”

“เช่นนั้นตามข้ามา” รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฉินซีเมื่อเขาเห็นเด็กหญิงตัวเล็กคนนี้มีความสุข แต่เพียงชั่วพริบตาเขาก็กลับมามีท่าทางเย็นชาอีกครั้ง

เฉินซีจับมืออันเล็กบางของซีซีแล้วเดินเข้าไปในบ้านของเขา

บนโต๊ะมีกองกระดาษยันต์สีฟ้าอ่อน ถาดหมึกที่เต็มไปด้วยหมึกสีแดงคล้ำ และพู่กันเขียนยันต์สีเข้ม

เฉินซีปรับท่าทางของเขาให้นั่งตัวตรงต่อหน้าโต๊ะ ส่วนซีซีก็นั่งบนเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ ที่ด้านข้างอย่างเชื่อฟัง และบนใบหน้าเล็กนั้นยังเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เฉินซีชี้ไปที่กองกระดาษยันต์สีฟ้าอ่อน ขณะที่เขาอธิบายด้วยเสียงเบาแผ่ว “นี่เป็นกระดาษยันต์เยื่อไม้สนซึ่งเป็นกระดาษยันต์ที่มีราคาถูกที่สุดในท้องตลาด มันมีเนื้อแข็งและหยาบกระด้าง จึงมักจะถูกใช้เพื่อสร้างยันต์พื้นฐานที่ง่ายที่สุด”

ซีซีเป็นดั่งนักเรียนในขณะที่นางพยักหน้าอย่างตั้งใจและพูดว่า “พี่เฉินซีข้าจำได้แล้ว”

เฉินซีหัวเราะและส่ายหัว ก่อนจะชี้ไปที่ถาดหมึกสีแดงคล้ำและกล่าวว่า “หมึกนี้มาจากเลือดของกวางเพลิงสีชาด ซึ่งเป็นหนึ่งในสัตว์อสูรระดับต่ำที่สุด นอกจากเลือดที่สามารถนำมาใช้เป็นหมึกสำหรับสร้างยันต์แล้ว อวัยวะอื่น ๆ ของมันก็ไม่มีค่าเลยแม้แต่น้อย”

ซีซีพยักหน้าขณะที่นางถามต่อ “แล้วพู่กันนั่นล่ะ?”

“นี่คือพู่กันเขียนยันต์ พู่กันเขียนยันต์นั้นมีคุณภาพหลากหลาย หากเป็นพู่กันเขียนยันต์คุณภาพเยี่ยม ขณะเขียนยันต์จะไม่เพียงแต่วาดลายเส้นที่เฉียบคมและสมมาตรมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จของการสร้างยันต์ได้อีกด้วย พู่กันเขียนยันต์ที่ข้ามีอยู่นี้เป็นเพียงพู่กันเขียนยันต์ธรรมดาทั่วไป อย่างไรก็ตาม มันก็เพียงพอแล้วสำหรับข้า”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]