บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 308

บทที่ 308 ขึ้นสังเวียนเพื่อทำศึก

บทที่ 308 ขึ้นสังเวียนเพื่อทำศึก

พลังชีวิตและโลหิตพวยพุ่งอย่างรุนแรง มันเดือดพล่านเหมือนหินหลอมเหลวเมื่อไหลออกมาตามร่างกายของเขา และขดตัวเหมือนหมอกควันก่อนจะพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและกลายเป็นมวลเมฆในที่สุด นี่เป็นสัญญาณที่จะปรากฏได้ก็ต่อเมื่อผู้แปรสภาพร่างกายบรรลุสู่​​ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง

เมฆสีเลือดที่ปกคลุมอยู่เหนือศีรษะจี้เยว่ในระยะสองลี้ มันเกิดมาจากพลังชีวิตและโลหิตภายในร่างกายของเขา และเมื่อบรรลุระดับการบ่มเพาะเช่นนี้ เสียงคำรามเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำลายล้างวิญญาณชั่วร้ายและกำจัดภูตผีได้

เมื่อตำหนักในขอบเขตการบ่มเพาะซึ่งถูกครอบครองโดยผู้แปรสภาพร่างกายที่บรรลุถึงระดับนี้ วิญญาณชั่วร้ายที่เห็นเมฆสีเลือดจากระยะไกลจะหลบหนีไป และพวกมันก็จะไม่กล้าโผล่หัวออกมาข้างหน้าเลยสักนิด

ยิ่งไปกว่านั้น หากต้องการรู้ระดับที่ผู้แปรสภาพร่างกายขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้บรรลุมา ก็สามารถแยกแยะได้จากเมฆสีเลือดที่ควบแน่นในท้องฟ้าเหนือศีรษะของผู้บ่มเพาะ เมฆที่ปกคลุมในระยะสิบสองจั้ง แสดงถึงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้น ถ้าปกคลุมในระยะร้อยยี่สิบจั้ง จะแสดงถึงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นกลาง ในขณะที่ปกคลุมในระยะสองลี้จะแสดงถึงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูง และถ้ามีฟ้าร้องฟ้าแลบดังกึกก้องภายในมวลเมฆที่ปกคลุมในระยะสองลี้ ย่อมแสดงว่าผู้บ่มเพาะได้บรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว

พลังที่จี้เยว่เผยออกมาในการต่อสู้ได้พิสูจน์ถึงสิ่งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

“ช่างอัศจรรย์นัก! ข้าไม่เคยรู้เลยว่ามีผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังเช่นนี้อยู่ในนิกายเหนือเศียรด้วย โดยปกติแล้ว ในขอบเขตการบ่มเพาะเดียวกัน ผู้แปรสภาพร่างกายสามารถบดขยี้ผู้บ่มเพาะลมปราณได้อย่างหมดจด” ย่าชิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ

“คนผู้นี้อาจไม่เคยก้าวออกจากนิกายของเขา และบางที การเข้าร่วมการชุมนุมธารทองครั้งนี้อาจเป็นครั้งแรกที่เขาปรากฏตัวในโลกแห่งการบ่มเพาะ มิฉะนั้น ด้วยความแข็งแกร่งของเขา ชื่อเสียงของเขาจะต้องแพร่กระจายไปทั่วทั้งโลกแห่งการบ่มเพาะแล้ว” เจิ้นหลิวชิงวิเคราะห์ด้วยเสียงทุ้มต่ำเช่นกัน

เมื่อเขาได้ยินหญิงสาวสองคนประเมินจี้เยว่ไว้สูงมาก เฉินซีก็ดูเหมือนจะหมกมุ่นอยู่กับความคิดของเขาเองเล็กน้อย เขาสัมผัสได้อย่างบางเบาว่ากลิ่นอายของจี้เยว่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย ปราณจ้าววิญญาณที่เผยออกมาจากทักษะแปรสภาพร่างกายของจี้เยว่นั้น บริสุทธิ์ มั่นคง กว้างใหญ่ และไม่ธรรมดา แต่ก็มีพลังมหาศาล

‘ช่างเป็นปราณจ้าววิญญาณที่แปลกประหลาด เหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้นเคย…ข้าจำได้แล้ว! กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากเขาพระสุเมรุที่อยู่ชั้นบนสุดของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ’ ประกายแห่งการรู้แจ้งปรากฏขึ้นในจิตใจของเฉินซี ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ และจดจำได้ว่าอักขระสยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมก็ปล่อยกลิ่นอายออกมาแผ่วเบาเช่นกัน

‘คนผู้นี้อาจฝึกฝนเคล็ดวิชาแปรสภาพร่างกายของนิกายพุทธ… น่าสนใจ นิกายพุทธถูกลืมไปนานแล้ว แต่จี้เยว่กลับได้รับมรดกของนิกายพุทธมา บางทีเขาอาจเป็นคนที่มีโชคมหาศาล’ เมื่อเฉินซีเข้าใจสิ่งนี้ ก็ยิ่งรู้สึกสงสัยในตัวจี้เยว่มากยิ่งขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่าเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ที่เขาครอบครองอยู่จะได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก แต่ก็เป็นสมบัติอมตะของนิกายพุทธในอดีต ยิ่งไปกว่านั้น จี้เยว่ยังเคยกล่าวว่า หากต้องการซ่อมแซมเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ เขาต้องใช้เคล็ดวิชาวิถีพุทธเพื่อการหล่อเลี้ยงและขัดเกลาเสียก่อน จึงจะมีโอกาสพัฒนาดวงจิตของสมบัติอมตะอีกครั้ง

“ดูนั่นสิ! ฮวาโม่เป่ยแห่งเกาะบ่อหยกสวรรค์ได้เข้าสู่สังเวียนแล้ว!”

“ช่างน่าเกรงขาม! คนผู้นี้สามารถเอาชนะหลู่ซวิ่นที่ได้รับชัยชนะติดต่อกันสามสิบหกครั้งด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และเขาก็เป็นม้ามืดอีกคนนอกจากจี้เยว่”

“จี้เยว่กับฮวาโม่เป่ย พร้อมด้วยนายน้อยโจว อันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่ ซูเฉิน และคนอื่น ๆ การชุมนุมธารทองครั้งนี้มีผู้บ่มเพาะเข้าร่วมมากมายราวกับมวลเมฆบนท้องฟ้า”

คลื่นเสียงอุทานอย่างตกใจดังขึ้นทันที ขณะที่สายตาของทุกคนมองไปที่สังเวียนต่อสู้หมายเลขสอง ที่มีชายหนุ่มรูปงามสวมชุดคลุมสีเขียวยืนอยู่คนเดียว เผ้าผมของเขาถูกมัดไว้ด้านหลังด้วยเชือกฟาง และเขาดูสดชื่น แต่ก็ยังมีความรู้สึกอิสระและไม่ถูกควบคุม

เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองไปรอบ ๆ และสังเกตเห็นได้อย่างเฉียบขาดว่า ความแข็งแกร่งของฮวาโม่เป่ยคนนี้ลึกล้ำราวกับมหาสมุทร กว้างใหญ่และไร้ขอบเขต อีกทั้งยังมีความรู้สึกที่สามารถปกคลุมทุกสิ่งในโลกนี้อย่างแผ่วเบา

เมื่อพิจารณาจากกลิ่นอายของเขาแล้ว ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บ่มเพาะธรรมดาทั่วไปจะสามารถเปรียบเทียบได้ นอกจากนี้ เขายังสามารถเอาชนะหลู่ซวิ่นที่ได้รับชัยชนะติดต่อกันสามสิบหกครั้งด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถระบุได้ว่าความแข็งแกร่งของเขาทรงพลังถึงเพียงใด

“เฉินซี ท่านอยากลองดูไหมว่าตัวเองจะดึงเสียงอุทานตกใจจากผู้คนได้หรือไม่” ย่าชิงหันกลับมาและกล่าวหยอกล้อ

“ตกลง” เฉินซีพยักหน้า มือของเขาคันจนแทบทนไม่ไหวมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นเขาจึงพุ่งไปที่สังเวียนประลองทันที และบังเอิญมีผู้บ่มเพาะที่พ่ายแพ้ที่นั่น และยังไม่มีใครมาแทนที่เขา

“ชายคนนี้เชื่อฟังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?” ย่าชิงตกตะลึง ขณะที่นางเงยหน้าขึ้น นางก็พบว่าเฉินซีได้กระโดดขึ้นไปบนสังเวียนประลองแล้ว

“เขาไม่ได้เชื่อฟังเจ้า แต่ความแข็งแกร่งที่ผู้บ่มเพาะแสดงออกมาบนสังเวียนประลองได้กระตุ้นความต้องการสู้ของเขาออกมา แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้กล่าวอะไร แต่เขาก็จะขึ้นไปท้าประลองอยู่ดี” เจิ้นหลิวชิงกล่าวอย่างสบาย ๆ จากด้านข้าง

“หึ สนใจเรื่องของตัวเองเถอะ!” ย่าชิงจ้องไปที่เจิ้นหลิวชิงอย่างดุดัน

“ตอนนี้ข้าไม่อยากโต้เถียงกับเจ้าแล้ว เพราะคงจะน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง หากข้าพลาดการต่อสู้ของเฉินซี” เจิ้นหลิวชิงยิ้มเบา ๆ จากนั้นนางก็จ้องมองไปยังสังเวียนที่เฉินซียืนอยู่

ย่าชิงตกตะลึง แต่นางก็จ้องมองไปที่สังเวียนเช่นกัน

“น้องชาย เจ้าอยากท้าประลองหานคุนหรือ?” บนสังเวียนประลองหมายเลขสาม ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติที่เป็นผู้ดูแลในการประลองที่มีนามว่า ‘ชุยซาน’ เขาเป็นชายชราที่มีท่าทางใจดี จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นเฉินซีเดินผ่านไป “แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงผู้บ่มเพาะที่ได้รับชัยชนะติดต่อกันสิบครั้ง แต่ความแข็งแกร่งของเขายังน่าเกรงขามและสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีชัยชนะติดต่อกันสิบแปดครั้งก่อนหน้านี้ การบ่มเพาะของเจ้าอยู่ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้นเท่านั้น ดังนั้นข้าแนะนำให้เจ้าคิดทบทวน และจะเป็นการดีที่สุดถ้าเจ้าเปลี่ยนเป็นคู่ต่อสู้ที่มีพละกำลังค่อนข้างด้อยกว่า”

“ไม่จำเป็นหรอกขอรับ” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นร่างของเขาก็ทะยานไปยังสังเวียนประลอง

ชุยซานส่ายศีรษะและถอนหายใจ เขาไม่ได้กล่าวอะไรอีกก่อนที่จะออกจากสังเวียนต่อสู้และปล่อยให้มันเป็นของเฉินซีกับหานคุน

บนที่นั่งที่ห่างออกไปในพื้นที่รับชม ซูเฉินซึ่งหลับตาทำสมาธิพลันลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน สายตาเหมือนกับสายฟ้าของเขาจดจ้องไปยังสังเวียนประลองหมายเลขสามทันที เมื่อเขาเห็นร่างที่คุ้นเคยยืนอยู่ตรงนั้น มุมปากของเขาก็แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นดั่งก้อนน้ำแข็ง “ในที่สุด เจ้าก็ตั้งใจที่จะเข้าสู่สังเวียนแล้ว? ข้าหวังว่าเจ้าจะได้รับชัยชนะมากขึ้น เช่นนั้นแล้ว ความรู้สึกเมื่อข้าเอาสามารถชนะเจ้าได้ จะต้องยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน”

“หากเขาพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วล่ะ?” ชายหนุ่มร่างผอมที่ดูอัปลักษณ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม

ซูเฉินกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ถ้าหากมันอ่อนแอเกินไป ข้าก็คงไม่รู้สึกถึงความสำเร็จจากการฆ่ามัน แต่ท้ายที่สุด เขาก็ไม่อาจหนีพ้นความตาย ใช่หรือไม่?”

ชายหนุ่มร่างผอมหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน ศัตรูที่เป็นเป้าหมายของศิษย์พี่ซูจะรอดได้อย่างไร”

ซูเฉินไม่ได้กล่าวอะไรอีกต่อไปและจ้องไปที่ร่างของเฉินซีอย่างแน่วแน่ ในขณะที่เขาต้องการดูว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ตัวซวยนี้เติบโตขึ้นมากน้อยเพียงใด

เฉินซีและหานคุนยืนเผชิญหน้ากันบนสังเวียนประลองที่กว้างขวางและหนักแน่น

“เฉินซี? ข้าเคยได้ยินนามของเจ้า ความเร็วของเจ้ารวดเร็วยิ่งนัก จนเจ้าสามารถเอาชนะชิวเยี่ยนได้” หานคุนกล่าวอย่างเฉยเมย เขามีรูปร่างสูงโปร่ง มีร่องรอยของความเย่อหยิ่งอยู่ที่หว่างคิ้วของเขา คำกล่าวของเขาถูกเปล่งออกมาอย่างไม่เร่งรีบ ราวกับว่าเขาเกิดมาพร้อมกับความรู้สึกที่เหนือกว่าทุกคน

“ข้าไม่จำเป็นต้องเอาจริงเอาจังกับขยะอย่างชิวเยี่ยน และเจ้าก็เหมือนกัน ดังนั้นข้าจะให้โอกาสเจ้า ยอมรับความพ่ายแพ้ เพื่อเจ้าจะไม่ต้องสูญเสียอย่างน่าละอายเกินไป เจ้าคิดอย่างไร?” หานคุนถาม

เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าเจ้ายังกล่าวเรื่องไร้สาระอีก ข้าจะโยนเจ้าเจ้าออกไปในสภาพน่าสังเวช”

“เจ้า…” ดวงตาของหานคุนเบิกโพลงและกำลังจะมอบบทเรียนให้กับคนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นเฉินซี อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นบางสิ่งแวบไปมาต่อหน้าต่อตา โดยไม่คาดคิด เขาก็ไม่เห็นเงาของเฉินซีอย่างสิ้นเชิง

เพียงอึดลมหายใจต่อมา หานคุนรู้สึกว่าร่างกายของเขาเบาลง เมื่อคอของเขาก็ถูกมือใหญ่ที่เหมือนห่วงเหล็กคว้าจับไว้ ทำให้เขาหายใจไม่ออกจนหน้าแดงและตาปูดโปน ยิ่งกว่านั้น ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนอย่างไร เขาก็หนีไม่พ้น!

“ข้าบอกเจ้าแล้ว ถ้าเจ้ากล่าวเรื่องไร้สาระอีก ข้าจะโยนเจ้าออกไป” เสียงที่ไม่แยแสของเฉินซีดังขึ้นที่ข้างหูของเขา ในขณะที่หานคุนรู้สึกว่าร่างกายของตนลอยออกไปพร้อมกับเสียง ‘ฟิ้ว’ และมันก็อยู่นอกเหนือการควบคุมของเขาอย่างสิ้นเชิง ในพริบตาต่อมา เขากระเด็นออกจากสังเวียนประลอง โดยเอาใบหน้าทิ่มลงกับพื้นและท่าทางของเขาก็น่าละอายเป็นอย่างยิ่ง

“มารดามัน! หานคุนถูกเหวี่ยงออกจากสังเวียนต่อสู้เหมือนลูกไก่ตัวน้อยที่ถูกนกอินทรีโฉบ!”

“ทุกคน มาดูเร็วเข้า! นายน้อยหานคุน ผู้ตุ้งติ้งที่สุดในตระกูลหานแห่งชางโจวถูกเหวี่ยงลงกับพื้น ฮ่า ๆ! ข้าหัวเราะจนแทบตายแล้ว”

“เป็นหานคุนจริง ๆ ปากของสหายคนนี้ร้ายกาจเหลือเกิน”

เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ ผู้ชมที่อยู่รอบ ๆ สังเวียนประลองต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะ และพวกเขาก็มีความสุขกับความโชคร้ายของหานคุน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าหานคุนไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบนัก

เมื่อหานคุนซึ่งนั่งอยู่บนพื้นได้ยินเสียงหัวเราะเหล่านี้ ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็แดงก่ำขณะที่เขาลุกขึ้นยืนช้า ๆ อย่างไม่มั่นคง จากนั้นเขาก็จ้องไปยังเฉินซีด้วยความขุ่นเคือง เขาอยากจะกล่าวคำที่รุนแรงออกไป แต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้เขาถูกสยบโดยไม่มีโอกาสได้ตอบโต้ ใจของเขาก็สั่นสะท้านทันที และกลืนคำพูดทั้งหมดลงท้องก่อนจะเดินจากไปด้วยความเสียใจ

“ก็เฉินซี ทักษะการเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วถึงขีดสุด และเขาก็เอาชนะชิวเยี่ยนด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวก่อนหน้านี้ ครานี้เขาก็โยนหานคุนออกจากสังเวียนด้วยการเหวี่ยงเพียงครั้งเดียว มันยากที่จะเชื่อถือ ท้ายที่สุด แม้ว่าปากของหานคุนจะร้ายกาจ แต่เขาก็แข็งแกร่งกว่าชิวเยี่ยนมาก!” เหล่าผู้ชมที่เคยเห็นการต่อสู้ของเฉินซีมาก่อน โพล่งคำพูดมากมายออกมาอย่างดุเดือด

“เขาทรงพลังจริง ๆ ข้าสงสัยนัก ว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหนเมื่อเทียบกับจี้เยว่และฮวาโม่เป่ย”

“ดูต่อไปแล้วเจ้าจะรู้เอง”

บนสังเวียนประลอง

ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติชุยซานซึ่งเป็นผู้ดูแลในการต่อสู้ยิ้มขณะที่เขามองไปรอบ ๆ และกล่าวด้วยเสียงที่ชัดเจน “เมื่อครู่นี้ เฉินซีจากดินแดนทางใต้ สามารถเอาชนะหานคุนที่ได้รับชัยชนะติดต่อกันสิบครั้ง แม้แต่ข้าเองก็ยังต้องตกตะลึงกับความแข็งแกร่งของเขา ตอนนี้เขาเป็นจ้าวแห่งสังเวียนหมายเลขสามแล้ว มีผู้ใดอยากจะท้าประลองกับเขาหรือไม่?”

ชุยซานย่อมรู้สึกประหลาดใจอย่างแน่นอน เนื่องจากเขาตระหนักมานานแล้วว่า ฐานการบ่มเพาะของเฉินซีนั้นอยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้น แต่เขากลับสามารถโยนหานคุนซึ่งมีฐานการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบออกจากสังเวียนได้อย่างสบาย ๆ ดังนั้นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเฉินซีจะน่าเกรงขามสักแค่ไหน?

“ข้า เกาเตี้ยนอวี่ ขอคำชี้แนะจากสหายเต๋าเฉินซีด้วย” ในเวลาไม่นาน ผู้บ่มเพาะก็กระโดดขึ้นมาบนสังเวียน กลิ่นอายทั่วร่างกายของเขานั้นดุร้ายและแรงกดดันของเขาก็หนักอึ้ง เขาเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบเช่นกัน

เคร้ง!

เกาเตี้ยนอวี่ดึงกระบี่ของเขาออกจากฝักและสร้างม่านปราณกระบี่ออกมาข้างหน้าเขา ม่านปราณกระบี่นั้นส่องแสงแวววาวราวกับกระแสน้ำที่ไหลริน และแฝงไปด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งสายน้ำที่ทรงอานุภาพเป็นอย่างมาก

หลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว มุมปากของเกาเตี้ยนอวี่ก็เต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ ขณะที่เขาซ่อนตัวอยู่หลังม่านปราณกระบี่อย่างระมัดระวัง และสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่เฉินซี โดยหวังว่าจะพบจุดอ่อนสักเล็กน้อย

‘คนผู้นี้เชี่ยวชาญการใช้การป้องกันเป็นวิธีการโจมตีเป็นอย่างมาก และเขาคิดว่าตนเองสามารถตอบโต้ความเร็วของข้าได้…’ เฉินซียิ้มอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นยันต์ศัสตราก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าในขณะที่เขาจงใจเผยให้เห็นจุดอ่อนเล็กน้อย เขาไม่ต้องการเสียเวลากับผู้บ่มเพาะที่เชี่ยวชาญในการป้องกัน

มีจุดอ่อน!

ดวงตาของเกาเตี้ยนอวี่หรี่ลง ในขณะที่กระบี่ของเขาแทงออกมาราวกับงูพิษที่ซ่อนอยู่ในเงามืดที่เปิดการโจมตีอย่างฉับพลัน และประกายกระบี่ที่วูบวาบพุ่งตรงไปยังเฉินซีในมุมที่แปลกประหลาด

ปัง!

เฉินซีไม่ลังเลที่จะใช้กระบี่เจิ้นแห่งสายฟ้าเลยแม้แต่น้อย มันเกิดขึ้นทันทีทันใดราวกับสายฟ้าฟาดที่พุ่งผ่านท้องฟ้า เจตจำนงกระบี่ที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างที่น่าตกใจก็ครอบคลุมสังเวียนประลองทั้งหมดในทันที

ฟ่อ!

เสียงแผ่วเบาที่ดังก้องอยู่ข้างหู ซึ่งเกาเตี้ยนอวี่ไม่ได้สนใจมันในตอนแรก แต่เมื่อกระบี่ของเขากำลังจะแทงเฉินซี ปอยผมที่ถูกตัดขาดก็หล่นลงจากหน้าผากของเขาและสะท้อนให้เห็นในระยะการสายตา

ทันใดนั้น ร่างของเกาเตี้ยนอวี่ก็แข็งทื่อทันที และเขาตกตะลึงราวกับหุ่นเชิดไม้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]