บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 327

บทที่ 327 โรงเตี๊ยมอีกาคลั่ง

บทที่ 327 โรงเตี๊ยมอีกาคลั่ง

เฉินซีได้เข้าใจเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของวายร้ายภายในเมืองอีกาคลั่งจากเฉียวเซิงคร่าว ๆ แล้ว

ในบรรดาอาชญากรกว่าพันคนในเมืองอีกาคลั่ง ความแข็งแกร่งของหุ่นไล่กาจาง หลีกะโหลกผี ชื่อหลัวหลาน อู๋ฝูจื่อ ฉีอิ๋นนั้นอยู่ในอันดับต้น ๆ พวกเขาทั้งหมดต่างบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์ ฆ่าคนเหมือนแมลงวันและมีประสบการณ์การต่อสู้อย่างโชกโชน

อันที่จริง เฉินซีรู้สึกประหลาดใจอย่างมากเมื่อเขาเพิ่งเข้าใจสถานการณ์นี้ เพราะอันที่จริง สิ่งที่เขากังวลคือเมืองอีกาคลั่งแห่งนี้ได้รวบรวมวายร้ายและคนชั่วช้าของราชวงศ์ซ่งทั้งหมดไว้ และถ้าพูดตามเหตุผลแล้ว วายร้ายพวกนั้นไม่ควรมีความแข็งแกร่งเพียงแค่ระดับนี้แน่

แต่หลังจากที่เฉียวเซิงอธิบาย เขาก็เข้าใจในทันที

อาชญากรที่มีพลังตั้งแต่ขอบเขตจุติขึ้นไปนับว่าเป็นภัยคุกคามระดับสูง และอาชญากรรมที่พวกเขาก่อในโลกภายนอกก็หนักหนายิ่ง มันก่อให้เกิดความขุ่นเคืองในวงกว้าง ดังนั้นการระงับความโกรธแค้นของสาธารณชนโดยไม่ฆ่าพวกเขาจึงเป็นเรื่องยาก และราชวงศ์ซ่งก็ย่อมไม่กล้าเลี้ยงภัยร้ายเหล่านี้ไว้ในเมืองด้วยมันอาจแว้งกัดในภายหลัง ดังนั้นการกำจัดคนเหล่านี้จึงเป็นทางออกเดียว

ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ อาชญากรที่มีการบ่มเพาะขอบเขตจุติหรือสูงกว่าจะกล้าอยู่ที่เมืองอีกาคลั่งได้อย่างไร?

ในขณะเดียวกัน ตัวตนเช่นหุ่นไล่กาจางและคนอื่น ๆ ก็นับว่าเป็นเพียงผู้ใช้แรงงานในพื้นที่ซึ่งราชวงศ์ซ่งควบคุมอยู่ พวกเขาจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับโอกาสที่จะถูกกำจัด แต่เมื่อใดที่พวกเขาบรรลุสู่ขอบเขตจุติ พวกเขาก็จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกฆ่าได้

สิ่งนี้นับเป็นการลงโทษสำหรับผู้บ่มเพาะโดยแท้ พวกเขาไม่สามารถก้าวหน้าได้ ซึ่งหมายความว่าอายุขัยของพวกเขามีจำกัด ดังนั้นการมีชีวิตอยู่ก็ไม่ต่างอะไรกับการรอความตาย

บางทีนี่อาจเป็นวิธีการลงโทษพวกเขาของราชสำนักซ่ง การมีชีวิตอยู่ในขณะที่รอความตาย …บางครั้งก็ทรมานยิ่งกว่าการฆ่าพวกเขาโดยตรงเสียอีก!

สรุปแล้ว หลังจากที่ชายหนุ่มค้นพบเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเมืองอีกาคลั่งแล้ว เฉินซีก็ไม่ต้องกังวลว่าชีวิตของเขาจะถูกคุกคามอีกต่อไป ชายหนุ่มเดินตามหลังเฉียวเซิงเพื่อเปิดประตูและเข้าไปในโรงเตี๊ยมอีกาคลั่ง

สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือ ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปในโรงเตี๊ยม เฉียวเซิงได้สอนเฉินซีอย่างละเอียดว่าเจ้าถิ่นพวกนี้จะจงใจจับผิดผู้มาใหม่และแสดงพลังของพวกตน ดังนั้นเขาจึงขอให้เฉินซีอดทนในตอนที่ยังทนได้ และอย่าทำอะไรโง่ ๆ

เฉินซีไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่รับปากเช่นกัน

ทันทีที่ประตูเปิดออก ลมเย็นพัดเข้ามาในห้อง และเฉินซีก็ยืนอยู่ที่ทางเข้า ขณะที่โรงเตี๊ยมซึ่งเคยจอแจพลันเงียบกริบ

ภายในโรงเตี๊ยมที่ไม่ใหญ่นักมีโต๊ะสิบกว่าโต๊ะวางกระจัดกระจายโดยรอบ และมีอาชญากรยี่สิบสามสิบคนล้อมรอบโต๊ะขณะที่พวกเขาดื่มเหล้าและพูดคุยกัน ด้านในสุดของโรงเตี๊ยมมีโต๊ะบัญชีและเจ้าของโรงเตี๊ยมนั่งเท้าคางสัปหงกอยู่

ในขณะนี้ เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีเข้ามา สายตาของทุกคนในโรงเตี๊ยมก็พุ่งเข้าหา อาชญากรเหล่านี้มีสายตาที่ชั่วร้ายและสีหน้าป่าเถื่อน และเมื่อพวกเขาเห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยของเฉินซี สีหน้าของพวกเขาก็แสดงออกถึงการเยาะเย้ย

“โอ้ ผู้มาใหม่อีกคนมาถึงแล้ว ยินดีต้อนรับสู่เมืองอีกาคลั่ง ว่าแต่น้องชายคนนี้หล่อเหลาจริง ๆ ทำไมเจ้าไม่มาดื่มกับพี่สาวล่ะ?” สตรีผู้เย้ายวนราวกับดอกท้อนั่งอยู่ตรงกลางท่ามกลางเหล่าอาชญากรมากมาย และใช้มือประคองแก้มของนางขณะที่ผิวปากเสียงดัง พร้อมกับใช้ดวงตาทรงลูกท้อคู่นั้นจ้องมองมายังเฉินซีอย่างรักใคร่ระคนแน่วแน่

ทันทีที่เสียงอันไพเราะและมีเสน่ห์นี้ออกจากปากของนาง บรรยากาศที่เงียบสงบก็สลายไปในทันที โรงเตี๊ยมกลับมาคึกคักอีกครั้ง ในสายตาของคนเหล่านี้ เฉินซีจะยังดูเหมือนเด็กและผอมบาง ดังนั้นเขาย่อมไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อพวกตนเลยแม้แต่น้อย

“ผู้หญิงคนนี้คือชื่อหลัวหลาน เจ้าอยากไปดื่มกับนางหรือไม่?” เฉียวเซิงยิ้มในขณะที่เขาหยอกล้อ

“ดื่มหรือ? ระวังกะโหลกของเจ้าจะแตกแล้วถูกเอาไปทำเป็นปุ๋ยซะล่ะ” ในมุมหนึ่ง เสียงสูงวัยดังขึ้น ผู้พูดคือชายชราในชุดคลุมที่ถือหนังสืออยู่ในมือ ตัวเขามีบรรยากาศที่เหมือนบัณฑิต และกำลังนั่งดื่มคนเดียว

เฉียวเซิงไม่จำเป็นต้องแนะนำชายชราคนนี้ เพราะเฉินซีเดาได้คร่าว ๆ แล้วว่าชายชราคนนี้คืออู๋ฝูจื่ออย่างแน่นอน จากรูปลักษณ์ภายนอกของชายชรา มันเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าชายชราผู้รอบรู้เช่นนี้ชอบที่จะฟังเสียงร้องโหยหวนของคนเป็น ๆ ก่อนนอน

“น้องชาย อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของเพื่อนเก่าเลย ข้าชื่อหลัวหลาน ข้าจะฆ่าเฉพาะคนที่ข้าไม่ชอบ แต่พี่สาวชอบเจ้ามาก และข้าก็คิดแต่จะโอบกอดเจ้าไว้ในอ้อมแขนของข้าเพื่อปกป้องเจ้า ดังนั้นข้าจะทำเจ้าให้เป็นปุ๋ยทำไม?” ชื่อหลัวหลานหัวเราะเบา ๆ

“เฮ้ มีผู้มาใหม่คนใดที่ไม่ได้อยู่ในมือของเจ้าและได้รับการปกป้องบ้าง? แต่ว่าสุดท้ายพวกเขาก็ลงเอยด้วยการที่กะโหลกถูกเปิดออกล่ะซี?” อู๋ฝูจื่อดูเหมือนจะชอบทะเลาะกับชื่อหลัวหลาน และเขาก็ไม่ได้รีรอที่จะกล่าวเปิดโปงนางอีกครั้งเลยแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นชื่อหลัวหลานก็ไม่สามารถแกล้งเฉินซีต่อได้ และในขณะที่นางเริ่มทะเลาะกับอู๋ฝูจื่อ มันก็ทำให้อาชญากรคนอื่น ๆ ในโรงเตี๊ยมส่งเสียงหัวเราะออกมา

ทว่าเฉินซีไม่ได้สนใจเรื่องทั้งหมดนี้ เขาเดินมาที่หน้าโต๊ะบัญชีและพูดว่า “ข้าต้องการแผนที่ของป่าทมิฬ”

ในขณะเดียวกัน เฉียวเซิงก็มาหลังโต๊ะบัญชีอย่างรวดเร็วและพูดอะไรบางอย่างกับเจ้าของโรงเตี๊ยมด้วยเสียงทุ้มต่ำ คล้ายกับว่าเข้าไปแนะนำตัวให้เจ้าของโรงเตี๊ยมรู้จัก และหลังจากที่เขาพูดจบ ชายหนุ่มก็ยิ้มขณะที่ก้าวถอยออกมา

เจ้าของโรงเตี๊ยมพยักหน้าและพูดว่า “ข้ามีแผนที่ของป่าทมิฬจริง ๆ แต่แผนที่มันยังไม่สมบูรณ์ และราคาของมันก็สูง เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการซื้อมัน?”

เฉินซีพยักหน้า เขามีลางสังหรณ์ว่าการซุ่มโจมตีพวกตะวันเร้นที่มีเป้าหมายคือเขาได้เริ่มขึ้นแล้ว และหากไม่ใช้เวลาให้คุ้มค่าและมุ่งสู่นครอสนีบาตซึ่งวางแผนไว้ว่าจะเข้าไปเมื่อนานมาแล้ว เขาคงได้ปล่อยให้ศัตรูฉกฉวยโอกาสลงมือก่อนเป็นแน่

ยิ่งไปกว่านั้น การมีแผนที่ของป่าทมิฬไว้ในครอบครองจะสะดวกกว่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย

เจ้าของโรงเตี๊ยมเงยหน้าขึ้นและจ้องมองเฉินซีครู่หนึ่งก่อนที่จะขานราคาออกมา “ห้าแสนโอสถกลั่นแรกเริ่ม”

เสียงอึกทึกครึกโครมในโรงเตี๊ยมเงียบลงทันทีเมื่อพวกเขาได้ยินราคานี้ และสายตามากมายต่างก็จับจ้องไปที่เจ้าของโรงเตี๊ยมด้วยท่าทางแปลก ๆ พวกเขาดูเหมือนจะไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมใจดำคนนี้จะไม่ใช่แค่ใจดำเท่านั้น แต่ยังไร้สาระอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งราคาที่สูงเกินไป!!

คิ้วของเฉินซีขมวดเข้าหากัน และหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็หยิบกระเป๋าเก็บของออกมาแล้วโยนมันไปให้ “ข้าหวังว่าแผนที่นี้จะคุ้มค่ากับราคา”

เจ้าของโรงเตี๊ยมพลันมีท่าทีสดชื่นขึ้นทันที ในขณะที่เขาพยักหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคงรู้จักสหายฉีอิ๋นคนนั้น เขาเป็นคนวาดแผนที่นี้เองหลังจากท่องไปในป่าทมิฬเป็นเวลาหลายปี ไม่เพียงแต่บันทึกเส้นทางในป่าทมิฬเท่านั้น มันยังระบุสถานที่อันตรายเอาไว้อีกด้วย ดังนั้นมันจึงคุ้มค่ากับราคานี้อย่างยิ่ง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]