บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 341

บทที่ 341 การล่มสลายอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 341 การล่มสลายอย่างต่อเนื่อง

โอม!

คลื่นพลังงานผันผวนได้ดูดดึงความสนใจของเฉินซีที่อยู่ในเงามืด ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นขณะที่จิตสัมผัสเทพของเขาแผ่กระจายออกไป ในเวลาไม่นาน เขาก็เข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มันคือความผันผวนที่เกิดจากยันต์เคลื่อนเอกภพ ซึ่งเจียงซวินและคนอื่น ๆ ได้หายไปพร้อมกับมัน

ร่องรอยความเย้ยหยันเบาบางปรากฏขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

มุมปากของเฉินซียกยิ้มเยาะ “มือสังหารแห่งตำหนักตะวันดำที่มีชื่อเสียงเลื่องลือก็หลบหนีเป็นเช่นกันหรือ?”

นับตั้งแต่เข้าสู่เมืองอีกาคลั่งจนถึงช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ที่ยากลำบากในป่าทมิฬ ร่างกายของเขาอยู่ในสภาพตึงเครียดตลอดเวลา และภายใต้การกระตุ้นของภยันตรายต่าง ๆ ที่ชายหนุ่มเผชิญ สภาพจิตใจ การบ่มเพาะ และความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขาก็มีการก้าวหน้าเป็นอย่างมาก

ก่อนที่กลุ่มของเจียงซวินจะปรากฏตัว การขัดเกลาปราณภายในของเขาก็ได้ทะลวงผ่านอีกครั้ง จนบรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูง และการบ่มเพาะกายาของเขาก็บรรลุถึงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นกลางแล้วเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ จึงอาจถือได้ว่าการบ่มเพาะของเขามีความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด และมันก็พัฒนาขึ้นอย่างมั่นคง

เมื่อเทียบกับการบ่มเพาะ ความก้าวหน้าในการทำความเข้าใจเต๋ารู้แจ้งของเขานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ธาตุทั้งห้า หยินหยาง ดารา อัสนี วายุ นภา… แม้แต่เต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาและเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือนก็มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก

หากยึดตามสี่ขอบเขตและสิบสองระดับของเต๋ารู้แจ้ง ธาตุทั้งห้า หยินหยาง วายุ อัสนี และเต๋ารู้แจ้งแห่งนภาที่เขาหยั่งรู้เมื่อนานมาแล้ว ต่างก็บรรลุถึงระดับที่เจ็ดของขอบเขตเริ่มต้น

สิ่งนี้คงไม่สามารถทำได้สำเร็จ หากปราศจากการบ่มเพาะของคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ ท้ายที่สุด กระบวนกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ทั้งแปดท่าที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์นั้นมีมหาเต๋ามากมายที่ครอบคลุมธาตุทั้งห้า หยินและหยาง แม้แต่กระบี่เฉียนแห่งนภาเองก็ยังเป็นตัวแทนของมหาเต๋าแห่งนภา และเฉินซีมักจะใช้มันในการต่อสู้อยู่เสมอ ดังนั้นความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งของเขาจึงเพิ่มขึ้นไปพร้อม ๆ กับการใช้มันนั้นเอง

ทว่าเต๋ารู้แจ้งแห่งดารานั้นกลับพัฒนาได้ช้าเป็นอย่างมาก แต่มันก็บรรลุถึงระดับที่หกของขอบเขตเริ่มต้นเช่นกัน ซึ่งสิ่งนี้ไม่สามารถทำได้สำเร็จ หากปราศจากการบ่มเพาะวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพและจินตภาพถึงรูปปั้นเทพเจ้าฝูซีตลอดทั้งวันทั้งคืน

เต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาและเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือนนั้นเต็มไปด้วยความลึกลับและยากจะหยั่งถึง ซึ่งอันที่จริง เฉินซีแทบไม่เคยให้ความสนใจกับพวกมันเลย แต่เต๋ารู้แจ้งทั้งสองชนิดนี้ก็ได้รับการพัฒนาอย่างช้า ๆ อยู่ตลอดเวลา ในตอนนี้ เต๋ารู้แจ้งทั้งสองชนิดก็ได้บรรลุระดับที่ห้าของขอบเขตแรกรู้ และพวกมันก็อยู่ห่างจากการบรรลุขอบเขตเริ่มต้นอีกเพียงก้าวเดียว ซึ่งเป็นการพัฒนาที่น่าเหลือเชื่อ!

…อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ของเฉินซี เต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาและเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือนนั้นเกี่ยวข้องกับการนำทางและการสยบวิญญาณของคนตายหรือพลังลึกลับอื่น ๆ บางทีในขณะที่เขาลงมือสังหารศัตรูของเขา เมื่อได้พานพบกับชีวิตและความตายที่หลากหลาย มันก็อาจทำให้เขาเข้าใจเกี่ยวกับเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาและเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือนอย่างไม่รู้ตัว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกมันบรรลุถึงระดับดังกล่าว!

ดังนั้น การพัฒนาของเต๋ารู้แจ้งทั้งหมดของเขาก็เป็นสิ่งที่น่ายินดีอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะที่ผ่านมา เขาต้องพึ่งพาพลังของยันต์ศัสตราเพื่อดำเนินการโจมตีที่ทำให้เต๋ารู้แจ้งก่อรูปขึ้น แต่ในตอนนี้ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องพึ่งพายันต์ศัสตราในขณะที่ใช้วิชากระบวนยุทธ์ระดับเต๋าเพื่อบรรลุระดับดังกล่าวแล้ว

มันเป็นเพราะเต๋ารู้แจ้งและการบ่มเพาะของเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทำให้ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเฉินซีพุ่งสูงขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งในตอนนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงมือสังหารของตำหนักตะวันดำเหล่านี้ แม้ว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับชิงซิ่วอี้ ซึ่งเป็นเซียนสวรรค์กลับชาติมาเกิด เขาก็มีความมั่นใจที่จะเอาชนะนาง!

และการที่เจียงซวินกับคนอื่น ๆ กำลังหลบหนีหลังจากพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ก็ได้พิสูจน์สิ่งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

หลังจากประสบกับการล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงหลายวันนี้ ทำให้ความโกรธในใจของเฉินซีสลายไปอย่างมาก และเขาคาดการณ์ได้อย่างราง ๆ ว่าตำหนักตะวันดำอาจจะไม่เคลื่อนเพื่อต่อต้านเขาอีกหลังจากการต่อสู้ในครั้งนี้ เว้นเสียแต่พวกเขาจะส่งมือสังหารที่มีฐานการบ่มเพาะเหนือกว่าขอบเขตแกนทองคำหยินหยางมา

แต่ตามความเข้าใจของเขาที่มีต่อกลุ่มเฒ่าประหลาดนั้น พวกมันคงไม่กล้ามอบความไว้วางใจให้ตำหนักตะวันดำทำสิ่งนี้อีก มิฉะนั้นจะเป็นการข่มเหงผู้เยาว์และจะทำให้ตระกูลไป๋ขุ่นเคืองอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเฒ่าประหลาดเหล่านี้ต้องการฆ่าเขาจริง ๆ ในขณะที่เสี่ยงจะทำให้ตระกูลไป๋ขุ่นเคือง คนพวกนั้นก็สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง ทว่าเหตุใดพวกเขาถึงยอมจ่ายไปจำนวนมากเพื่อจ้างมือสังหารของตำหนักตะวันดำกัน?

หลังจากที่เขาได้ข้อสรุปของเรื่องนี้ เฉินซีก็ไม่กลัวภัยคุกคามของตำหนักตะวันดำอีกต่อไป

เขาคำนวณเวลาอยู่ครู่หนึ่งและตระหนักได้ว่ามีเวลาไม่ถึงหนึ่งปีก่อนที่การชุมนุมดาวรุ่งจะเริ่มขึ้น และหากเขาต้องรีบไปยังนครหลวงธารสายไหมจากที่นี่ เขาจะต้องผ่านลานศิลาภูตผี หุบเขาวิญญาณโลหิต ถ้ำอสูรน้ำแข็งและสถานที่อันตรายอื่น ๆ อีกมากมายก่อนที่จะผ่านนครอสนีบาตเพื่อไปยังนครหลวงธารสายไหม

หลังจากที่เขาคิดเรื่องนี้ทั้งหมดแล้ว เฉินซีก็ไม่รอช้าอีกต่อไป ก่อนที่จะหันหลังกลับเพื่อหายตัวไปในป่า

สามวันต่อมา

ข่าวได้ส่งกลับไปที่ตำหนักตะวันดำ หลังจากชุยซานซึ่งเจียงซวินเรียกว่าหัวหน้าหน่วย 7 ได้รู้ถึงเรื่องนี้ เขาก็เงียบเป็นเวลานาน และหลังจากไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาในขณะที่ส่ายหัว

“ท่านอาจารย์ เหตุใดท่านถึงหัวเราะเล่าขอรับ?” ที่ด้านข้าง เด็กชายรูปงามที่มีอายุประมาณแปดหรือเก้าขวบที่สวมสร้อยคอทองคำได้เอ่ยถามออกไป

“ข้าหัวเราะให้กับความโง่เขลาของคนเหล่านี้ ความล้มเหลวในการลอบสังหารนั้นไม่มีค่าอะไรเลย แต่เมื่อพวกมันรู้ว่าไม่สามารถเอาชนะเป้าหมายได้ พวกมันกลับมีความคิดที่จะทรยศตำหนักตะวันดำ ดังนั้นพวกมันจึงสมควรตาย!” ชุยซานถอนหายใจเบา ๆ

ดวงตาสีดำขนาดใหญ่ของเด็กชายกลอกไปมาขณะที่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าท่านไม่ได้โกรธเลยสักนิดเล่า? แม้กระทั่งหลังจากที่ท่านได้ยินข่าวนี้ ท่านกลับรู้สึกสบายใจมากขึ้นแทน?”

ชุยซานไม่ได้ปฏิเสธและพยักหน้าขณะที่กล่าวว่า “ถูกต้อง ข้าคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าการปล่อยให้เฉินซีมีชีวิตอยู่นั้นก็เป็นเรื่องที่ดี ยิ่งไปกว่านั้น ข้าบังเอิญรู้ความลับอันยิ่งใหญ่จากท่านหญิงสุ่ยฮวาแห่งหอขุมทรัพย์สวรรค์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา และความลับนี้ทำให้ข้าตัดสินใจยอมรับว่าล้มเหลวในการลอบสังหารมากกว่าที่จะโจมตีเฉินซีอีกครั้ง”

เด็กชายกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ความลับอะไรหรือ?”

ชุยซานเลี่ยงการตอบคำถามด้วยการแย้มยิ้ม ทำให้ความคิดของเขาดูคาดเดาไม่ได้เล็กน้อย

“เฉินซีอาจจะไม่พอใจแม้ว่าท่านจะทำเช่นนี้ บางทีเขาอาจจะยังคงแค้นอยู่เพราะปฏิบัติการลอบสังหารก่อนหน้านี้” เด็กชายหัวเราะเบา ๆ แต่เขาไม่ได้ถามว่าความลับนั้นคืออะไรอีกต่อไป

“ที่ใดมีกำไร ที่นั่นย่อมมีการสูญเสีย แล้วถ้าเขาแค้นล่ะ? เมื่อเขาต้องการแก้แค้นตำหนักตะวันดำ ข้าคงปิดตัวบ่มเพาะสันโดษไปตั้งนานแล้ว ในเวลานั้น แม้ว่าเขาจะถอนรากถอนโคนและทำลายกองกำลังทั้งหมดของตำหนักตะวันดำ แล้วมันจะเกี่ยวข้องอะไรกับข้า?” ชุยซานเงียบเป็นเวลานานก่อนจะพึมพำว่า “ทว่าเรื่องของเฉินซีสามารถเพิกเฉยได้เพียงชั่วคราว ส่วนเจียงซวินและคนอื่น ๆ จะต้องถูกจับและนำกลับมาก่อนที่จะถูกตัดสินให้ประหารชีวิต เพราะกฎของตำหนักจะถูกทำลายเช่นนี้ไม่ได้”

เจตนาฆ่าฟันที่เย็นยะเยือกวาบผ่านดวงตาที่ใสกระจ่างของเด็กชายทันที จากนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ท่านอาจารย์มิต้องกังวล ศิษย์รู้ว่าต้องทำสิ่งใด”

ชุยซานพยักหน้าและกล่าวเตือนในทันที “ฉือซง อย่าได้เป็นศัตรูกับเฉินซี มิฉะนั้นอย่าได้โทษข้าที่ขับไล่เจ้า!”

ฉือซงตกตะลึง จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นธรรมชาติว่า “ท่านอาจารย์โปรดอย่าได้กังวล ศิษย์จะไม่ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน

ชุยซานจ้องมองไปยังฉือซงอย่างลึกซึ้ง ก่อนที่จะกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “คนอื่นอาจไม่เข้าใจเจ้า แต่ในฐานะอาจารย์ ข้าเฝ้าดูเจ้าเติบโตมาตลอด ดังนั้นข้าจะมองไม่เห็นความคิดของเจ้าได้อย่างไร เจ้าเป็นปีศาจตัวน้อยที่มีพรสวรรค์เหนือล้ำกว่าอัจฉริยะส่วนใหญ่ในโลก แต่ถ้าเจ้าวางแผนมากเกินไป มันจะส่งผลต่อการบ่มเพาะของเจ้าแทน”

รอยยิ้มบนใบหน้าของฉือซงแข็งทื่อในขณะที่เขากล่าวว่า “เหตุใดข้าถึงไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านกล่าวล่ะท่านอาจารย์?”

ชุยซานตะคอกอย่างเย็นชาในขณะที่ดวงตาของเขาสว่างวาบด้วยประกายสายฟ้า และกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าเข้าใจในสิ่งที่ข้ากล่าว และข้าจะไม่หยุดยั้งเจ้าหากต้องการแก้แค้นให้กุหลาบ แต่ไม่ใช่ตอนนี้อย่างแน่นอน!”

ทันใดนั้นร่างกายของฉือซงก็แข็งทื่อในขณะที่มือของเขากำแน่นโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของเขาฉายแววแห่งความเกลียดชังอย่างรุนแรงอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กล่าวอย่างขมขื่นว่า “ท่านอาจารย์ แล้วข้าจะลงมือได้เมื่อใด?”

ชุยซานตอบอย่างเฉยเมย “หลังจากการชุมนุมดาวรุ่ง ถ้าเฉินซีไม่ได้รับโอกาสในการเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล เจ้าก็สามารถจัดการกับเขาได้ตามที่เจ้าต้องการ”

ฉือซงถามอย่างละเอียด “แล้วถ้าเขาโชคดีพอที่จะเข้าไปล่ะ?”

ชุยซานเงียบไปเป็นเวลานาน จากนั้นเขาก็โบกมือและกล่าวว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าสามารถทำได้ตามที่เจ้าต้องการ”

ฉือซงพยักหน้าและไม่ถามคำถามเพิ่มเติมก่อนจะหันหลังกลับเพื่อจากไป

“ถ้าเฉินซีสามารถเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลได้ แสดงว่าไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่จะสามารถหยุดฝีเท้าของเขาได้ แล้วเจ้าจะแก้แค้นให้กุหลาบได้อย่างไร…?” ชุยซานมองตามร่างของฉือซงที่เคลื่อนตัวออกไปในระยะไกล และเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบา ๆ

ตำหนักจ้าวปัญญา

ภายในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยปราณเซียน

หัวหน้าคนรับใช้หมอบลงกับพื้นขณะที่เหงื่อเย็นเยียบที่มีขนาดเท่าเม็ดถั่วไหลออกมาจากหน้าผาก และเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการฝังศีรษะลงในรอยร้าวบนพื้น บรรยากาศที่นี่หนักหน่วงเป็นอย่างมาก ราวกับว่าทุกซอกทุกมุมเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและเจตนาฆ่าที่ไร้ขอบเขต ซึ่งบีบคั้นจนผู้คนหายใจลำบาก

เหตุผลนั้นง่ายมาก เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ตำหนักตะวันดำได้ส่งข่าวว่าพวกเขาได้ยกเลิกปฏิบัติการลอบสังหารเฉินซีแล้ว และตามข้อตกลง ตำหนักตะวันดำจะชดเชยพวกเขาเป็นสองเท่าและถือเป็นข้อยุติ

แต่สำหรับเหล่ายอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีที่อยู่ที่นี่ ผลลัพธ์นี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถยอมรับได้! พวกเขาต้องทุ่มเทและยอมจ่ายในราคาที่สูงกว่าที่จะได้เริ่มแผนการสังหารอันขมขื่นนี้ แล้วพวกเขาจะปล่อยให้มันถูกยกเลิกได้อย่างไร?

ใบหน้าของเหล่าตัวประหลาดเฒ่าต่างก็มืดมนเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากความขุ่นเคืองใจและความโกรธที่ไร้เสียงของพวกเขาทำให้ทุกสิ่งที่นี่ดูเหมือนกับถูกแช่แข็ง

“ให้ตายเถอะ ตำหนักตะวันดำ! พวกมันดูถูกเรา เราต้องถอนรากถอนโคนพวกมันและขับไล่พวกมันออกจากอาณาเขตของราชวงศ์ซ่ง!” หลังจากนั้นไม่นาน ตัวประหลาดเฒ่าคนหนึ่งก็ตะโกนออกมาด้วยเสียงที่ดังราวกับเสียงฟ้าร้อง ทำให้หัวหน้าคนรับใช้ตกใจจนวิญญาณของเขาแทบจะหลุดออกจากร่าง และร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้

“ถูกต้อง! เราต้องลงโทษตำหนักตะวันดำ ไม่อย่างนั้นเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”

“ฮึ่ม! พวกมันยกเลิกภารกิจด้วยความตั้งใจ ตำหนักตะวันดำกลับคำและเปลี่ยนใจอย่างจงใจ พวกมันสมควรได้รับบทเรียนอย่างแท้จริง!”

“พวกมันเป็นกลุ่มเศษสวะที่ไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง! พวกมันไม่สามารถแม้แต่จะฆ่ามดตัวเล็ก ๆ ที่มีการบ่มเพาะเพียงขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง เช่นนั้นข้าคิดว่าเราก็ไม่มีความจำเป็นที่ตำหนักตะวันดำจะคงอยู่ในราชวงศ์ซ่งอีกต่อไป!”

พวกตัวประหลาดเฒ่าทุกคนต่างก็ไม่สามารถระงับความโกรธในใจได้ และพวกมันก็กล่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง

มีเพียงราชันผู้ปรีชาหวงฝู่จิ่งเทียนเท่านั้นที่ยังคงเงียบสนิท เมื่อเทียบกับความโกรธที่เปิดเผยอยู่บนใบหน้าของตัวประหลาดเฒ่าคนอื่น ๆ ใบหน้าของหวงฝู่จิ่งเทียนนั้นแปลกเป็นอย่างมาก ดูเหมือนเขาจะหดหู่ นิ่งสงบ ขุ่นเคือง หวาดกลัว และอื่น ๆ

ในเวลาไม่นาน ทุกคนต่างก็สังเกตเห็นท่าทางที่ผิดปกติของหวงฝู่จิ่งเทียน และพวกเขาก็หยุดกล่าวก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมอง

หวงฝู่จิ่งเทียนหายใจเข้าลึก ๆ ราวกับเขาเพิ่งได้สติจากการไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งและกล่าวด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ว่า “ทุกคน ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ ความเป็นศัตรูระหว่างเฉินซีกับเรา ขอให้จบลงแต่เพียงเท่านี้”

ทุกคนต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ต่างพากันเผยสีหน้าเหลือเชื่อ “เราจะยอมแพ้กันเช่นนี้หรือ? ข้อตกลงก่อนหน้านั้นเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น จะจริงจังได้อย่างไร?

สายตาเย็นยะเยือกของหวงฝู่จิ่งเทียนได้กวาดผ่านทุกคน ใบหน้าของเขาไม่มีความผันแปรทางอารมณ์แม้แต่น้อย และกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “นี่เป็นคำสั่งจากเสด็จพี่ของข้าโดยตรง พวกเจ้ากล้ามีข้อโต้แย้งอย่างนั้นหรือ?”

มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถถูกหวงฝู่จิ่งเทียนกล่าวถึงเช่นนี้ได้…

จักรพรรดิฉู่องค์ปัจจุบัน!?

รูม่านตาของทุกคนหดเกร็งขณะที่หัวใจของพวกเขาดิ่งวูบสู่ก้นบึ้งในทันที แม้แต่จักรพรรดิฉู่องค์ปัจจุบันก็รู้เรื่องนี้ อีกทั้งยังขัดขวางอย่างแข็งขันเพื่อหยุดมัน แล้วพวกเขาจะกล่าวอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้บ้าง?

เพราะนี่คือราชวงศ์ซ่ง!

นี่คือโลกของตระกูลหวงฝู่!

ไม่ว่าการบ่มเพาะของพวกเขาจะสูงส่งเพียงใด พวกเขาก็ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของจักรพรรดิฉู่อย่างเปิดเผย

พวกตัวประหลาดเฒ่าทุกคนต่างก็ตระหนักได้ว่า นับจากนี้เป็นต้นไป หากคิดยึดสมบัติในครอบครองของเฉินซีจะทำให้พวกเขาล่วงเกินจักรพรรดิฉู่และราชวงศ์ซ่งทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นพวกเขาไม่สามารถแบกรับผลที่ตามมาได้ และกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาก็ไม่สามารถแบกรับผลที่ตามมาได้เช่นกัน!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]