บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 343

บทที่ 343 ปราการเดียวดาย

บทที่ 343 ปราการเดียวดาย

อวิ๋นน่าถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ชายที่สวมชุดขาดรุ่งริ่งและเต็มไปด้วยคราบเลือดคนนี้ไม่ได้ทำอะไรกับนางเลยสักนิด จึงทำให้หัวใจที่จุกอยู่ที่ลำคอของหญิงสาวได้กลับคืนสู่ที่เดิม

เดิมทีนางอยากจะลองถามว่าชายคนนี้พอที่จะถอดโซ่สีแดงเลือดที่พันรอบเอวของนางออกได้หรือไม่ เพราะหากเป็นไปได้ จะเป็นการดีที่สุดหากเขายอมคืนอิสระภาพให้นางได้เคลื่อนไหวไปมา

แต่ในเวลาไม่นาน นางก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป เพราะจู่ ๆ นางก็สังเกตเห็นว่าความเร็วที่นางภูมิใจมาเสมอนั้น กลับเชื่องช้าเหมือนเต่าเมื่ออยู่ต่อหน้าชายคนนี้ ดังนั้นเพื่อเป็นการประหยัดเวลา ชายคนนี้จึงต้องเป็นคนพานางไป และในที่สุดนางก็ตระหนักได้ว่าการเหาะเหินราวกับสายลมและเคลื่อนไหวได้เหมือนสายฟ้าฟาดนั้นเป็นอย่างไร!

ผ่านไปชั่วหนึ่งก้านธูป แต่ความเร็วของชายคนนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะช้าลง และอวิ๋นน่าก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอยู่ในใจของนาง ‘ช่างเป็นพละกำลังที่น่าสะพรึงกลัวอะไรเช่นนี้!’

แต่ด้วยวิธีนี้ ความกังวลก็ผุดขึ้นในใจของอวิ๋นน่าแทน ‘ถ้าเหาะเหินไปบนท้องฟ้าเช่นนี้ แล้วถ้าระหว่างทางถูกสัตว์อสูรทำร้ายล่ะ?’

ท้ายที่สุด ในเส้นทางที่จะมุ่งไปยังปราการเดียวดายนั้นก็มีสัตว์อสูรทรงพลังเป็นอย่างยิ่งและมีจำนวนมากมายอาศัยอยู่ ดังนั้นผู้บ่มเพาะทั่วไปจึงไม่กล้าบินอยู่กลางอากาศอย่างแน่นอน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย

แต่ภาพที่เห็นต่อไปนี้ได้ทำให้อวิ๋นน่าเข้าใจทันทีว่าความคิดของนางนั้นน่าหัวร่อและไม่จำเป็นถึงเพียงใด

เพราะในเวลาส่วนใหญ่ ชายคนนี้จะไม่หยุดเลยด้วยซ้ำและด้วยปราณกระบี่ของเขา สัตว์อสูรตัวใดก็ตามที่ขวางทางจะถูกเจาะศีรษะและตายในทันที เขาทรงพลังอย่างแท้จริง และจนถึงตอนนี้ มันก็ไม่มีสัตว์อสูรตัวใดที่สามารถต้านทานการโจมตีของเขาได้เลยสักครั้ง

ส่วนความรู้สึกนั้นราวกับว่ากระบี่ของเขาโผล่ออกมาจากอากาศตรงหัวของสัตว์ร้าย จากนั้นก็คร่าชีวิตของพวกมันอย่างง่ายดายและไม่ยุ่งยากแม้แต่น้อย!

หลังจากที่นางได้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยสองตาตนเอง ความรู้สึกไม่พอใจที่อยู่ในใจของอวิ๋นน่าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ในสายตาของนาง ชายที่คลุมกายด้วยผ้าขี้ริ้วและสกปรกเหมือนขอทานคนนี้ดูเหมือนเทพมารที่เย็นชาและไร้อารมณ์ และเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่นางไม่สามารถสั่นคลอนได้อย่างแน่นอน

ทันใดนั้น เฉินซีก็ชะลอความเร็วลง และในป่าอุดมสมบูรณ์ที่อยู่ห่างออกไปนั้นพลันมีป้อมปราการขนาดมหึมาปรากฏขึ้นภายในขอบเขตการมองเห็นของเขา ป้อมนี้มีขนาดใหญ่มากและตั้งตระหง่านด้วยโครงสร้างทรงกลม และบ่อยครั้งที่ชายหนุ่มเห็นผู้บ่มเพาะบินเข้าและออกจากป้อมปราการนี้ ซึ่งเฉินซีประเมินคร่าว ๆ ได้ว่าป้อมปราการนี้สามารถรองรับคนได้ไม่ต่ำกว่าหมื่นคน

เนื่องจากสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาเช่นนี้สามารถสร้างขึ้นได้ในป่าอาถรรพ์ซึ่งสัตว์อสูรพเนจรไปมาอย่างอิสระ จึงเห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของกองกำลังที่สร้างมันนั้นทรงพลังเพียงใด

ตามที่อวิ๋นน่ากล่าวมานั้น ปราการเดียวดายถูกสร้างโดยกลุ่มพ่อค้าชั้นนำในนครอสนีบาต เพื่อประโยชน์ในการใช้เป็นสถานที่หยุดพักระหว่างการขนส่งสินค้า แต่ต่อมาก็ถูกทิ้งร้างโดยไม่ทราบสาเหตุ และค่อย ๆ กลายเป็นสถานที่พักพิงสำหรับผู้บ่มเพาะที่มาป่าอาถรรพ์เพื่อผจญภัยหรือฝึกฝนตนเอง

เนื่องจากมีสัตว์อสูรจำนวนมากในป่าอาถรรพ์และสถานที่อันตรายอื่น ๆ อีกมากมายที่อยู่เบื้องหลัง เช่น หุบเขาทะเลสาบหงส์ บึงวิญญาณ ทะเลทรายพายุสายฟ้าและหุบเขาวิญญาณโลหิต แม้ว่าสถานที่เหล่านี้จะเต็มไปด้วยภยันตราย แต่ก็มีวัตถุและสมบัติมากมายอยู่ภายใน ซึ่งล้วนหาได้ยากในโลกภายนอก ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นเหมือนขุมสมบัติตามธรรมชาติที่ดึงดูดเหล่าผู้บ่มเพาะให้รีบเร่งมาจากทุกทิศทุกทาง

เพราะในแง่หนึ่ง พวกเขาจะขัดเกลาความแข็งแกร่งของพวกเขาได้ และพวกเขายังสามารถค้นหาสมบัติหายากบางอย่างได้ และอาจกล่าวได้ว่าเป็นการฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว

และเนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งอันพิเศษและความสามารถในการป้องกันที่ยอดเยี่ยมของมัน ปราการเดียวดายจึงกลายเป็นสถานที่พักพิงที่ปลอดภัยที่สุดในใจของผู้บ่มเพาะไปโดยปริยาย

เฉินซีดึงโซ่สีเลือดที่พันรอบเอวของอวิ๋นน่าออก โซ่เส้นนี้ได้รับมาจากกุหลาบ และเป็นสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอดที่มีความสามารถในการกลืนแก่นโลหิตของศัตรูอย่างน่าสะพรึงกลัว

อวิ๋นน่าถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกเมื่อนางได้รับอิสรภาพ จากนั้นนางก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เจ้าคงเพิ่งมาที่ปราการเดียวดายเป็นครั้งแรก ให้ข้าพาเจ้าเข้าไปหรือไม่?” ทว่านางกลับต้องเสียใจทันทีที่กล่าวจบ และไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าการตบปากตนเอง ‘เหตุใดข้าถึงคิดจะไปกับชายผู้แสนอันตรายคนนี้? นี่ข้าเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?’

“ตกลง แล้วข้าจะชดเชยให้เจ้า” เฉินซีพยักหน้า

อวิ๋นน่าตกตะลึง ‘ชายคนนี้เย็นชาและเอาแต่ใจยิ่งนัก แต่เขาสัญญาว่าจะชดเชยให้ข้าจริง ๆ หรือ? สวรรค์! นี่อาจเป็นความเข้าใจผิดของข้าเอง?’

“ไปกันเถอะ” เฉินซีมองไปที่อวิ๋นน่าด้วยท่าทางแปลกพิกล เขามีความรู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้แปลก ๆ อยู่เสมอและดูเหมือนจะหลงอยู่ในความคิดโดยไม่รู้ตัวอยู่บ่อยครั้ง และเขาก็สงสัยว่านางกำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่

อวิ๋นน่าราวกับตื่นขึ้นมาจากความฝันและรีบเดินนำหน้าเขาราวกับลูกกวางตัวน้อยที่หวาดกลัว

เมื่อเห็นภาพนี้ก็ทำให้เฉินซีต้องส่ายหัว ‘รูปลักษณ์ภายนอกของผู้หญิงคนนี้ดูเย้ายวนและเร่าร้อน แต่เหตุใดนางถึงทำตัวเหมือนเด็กน้อยและขาดการไตร่ตรอง? นิสัยของนางก็ด้อยกว่าจริง ๆ’ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าภาพลักษณ์ของเขาในหัวใจของอวิ๋นน่านั้นน่ากลัวจนถึงขีดสุดตั้งแต่เมื่อก่อนหน้านี้ และนางไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อย่างเต็มที่เลย

ในเวลาไม่นาน ทั้งคู่ก็เข้าสู่ปราการเดียวดาย

สิ่งแรกที่เขาเห็นคือห้องโถง ซึ่งมีพื้นที่ขนาดใหญ่จนสามารถรองรับคนได้ถึงสองพันคน ยิ่งไปกว่านั้นที่แห่งนี้คึกคักกว่าที่เฉินซีคาดไว้มาก มีผู้บ่มเพาะมากมายรวมตัวกันเป็นกลุ่มในขณะที่ดื่มสังสรรค์และสนทนากัน ซึ่งมันก็ส่งเสียงดังเป็นอย่างมาก

แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีต้องรู้สึกประหลาดใจนั้นคือมาตรฐานของผู้บ่มเพาะที่นี่ค่อนข้างสูงและถึงขนาดที่มีผู้บ่มเพาะบางคนที่สามารถกดดันเขาได้ แม้แต่ผู้บ่มเพาะที่ธรรมดาที่สุดของที่นี่ ก็ยังมีความแข็งแกร่งที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง

ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีที่ว่างสำหรับผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลและขอบเขตเคหาทองคำเพื่อตั้งหลักที่นี่เลย

ยิ่งกว่านั้น เฉินซีก็สังเกตเห็นว่าในขณะที่คนเหล่านี้กำลังสนทนา แต่การจ้องมองของพวกเขากลับแฝงไปด้วยความเป็นศัตรูเล็กน้อยและความระมัดระวังเป็นอย่างมาก ซึ่งนี่เป็นลักษณะเฉพาะของผู้บ่มเพาะที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้อย่างโชกโชนและผ่านการต่อสู้นองเลือดมาหลายครั้งเท่านั้นที่จะครอบครองได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]