บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 343

บทที่ 343 ปราการเดียวดาย

บทที่ 343 ปราการเดียวดาย

อวิ๋นน่าถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ชายที่สวมชุดขาดรุ่งริ่งและเต็มไปด้วยคราบเลือดคนนี้ไม่ได้ทำอะไรกับนางเลยสักนิด จึงทำให้หัวใจที่จุกอยู่ที่ลำคอของหญิงสาวได้กลับคืนสู่ที่เดิม

เดิมทีนางอยากจะลองถามว่าชายคนนี้พอที่จะถอดโซ่สีแดงเลือดที่พันรอบเอวของนางออกได้หรือไม่ เพราะหากเป็นไปได้ จะเป็นการดีที่สุดหากเขายอมคืนอิสระภาพให้นางได้เคลื่อนไหวไปมา

แต่ในเวลาไม่นาน นางก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป เพราะจู่ ๆ นางก็สังเกตเห็นว่าความเร็วที่นางภูมิใจมาเสมอนั้น กลับเชื่องช้าเหมือนเต่าเมื่ออยู่ต่อหน้าชายคนนี้ ดังนั้นเพื่อเป็นการประหยัดเวลา ชายคนนี้จึงต้องเป็นคนพานางไป และในที่สุดนางก็ตระหนักได้ว่าการเหาะเหินราวกับสายลมและเคลื่อนไหวได้เหมือนสายฟ้าฟาดนั้นเป็นอย่างไร!

ผ่านไปชั่วหนึ่งก้านธูป แต่ความเร็วของชายคนนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะช้าลง และอวิ๋นน่าก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอยู่ในใจของนาง ‘ช่างเป็นพละกำลังที่น่าสะพรึงกลัวอะไรเช่นนี้!’

แต่ด้วยวิธีนี้ ความกังวลก็ผุดขึ้นในใจของอวิ๋นน่าแทน ‘ถ้าเหาะเหินไปบนท้องฟ้าเช่นนี้ แล้วถ้าระหว่างทางถูกสัตว์อสูรทำร้ายล่ะ?’

ท้ายที่สุด ในเส้นทางที่จะมุ่งไปยังปราการเดียวดายนั้นก็มีสัตว์อสูรทรงพลังเป็นอย่างยิ่งและมีจำนวนมากมายอาศัยอยู่ ดังนั้นผู้บ่มเพาะทั่วไปจึงไม่กล้าบินอยู่กลางอากาศอย่างแน่นอน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย

แต่ภาพที่เห็นต่อไปนี้ได้ทำให้อวิ๋นน่าเข้าใจทันทีว่าความคิดของนางนั้นน่าหัวร่อและไม่จำเป็นถึงเพียงใด

เพราะในเวลาส่วนใหญ่ ชายคนนี้จะไม่หยุดเลยด้วยซ้ำและด้วยปราณกระบี่ของเขา สัตว์อสูรตัวใดก็ตามที่ขวางทางจะถูกเจาะศีรษะและตายในทันที เขาทรงพลังอย่างแท้จริง และจนถึงตอนนี้ มันก็ไม่มีสัตว์อสูรตัวใดที่สามารถต้านทานการโจมตีของเขาได้เลยสักครั้ง

ส่วนความรู้สึกนั้นราวกับว่ากระบี่ของเขาโผล่ออกมาจากอากาศตรงหัวของสัตว์ร้าย จากนั้นก็คร่าชีวิตของพวกมันอย่างง่ายดายและไม่ยุ่งยากแม้แต่น้อย!

หลังจากที่นางได้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยสองตาตนเอง ความรู้สึกไม่พอใจที่อยู่ในใจของอวิ๋นน่าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ในสายตาของนาง ชายที่คลุมกายด้วยผ้าขี้ริ้วและสกปรกเหมือนขอทานคนนี้ดูเหมือนเทพมารที่เย็นชาและไร้อารมณ์ และเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่นางไม่สามารถสั่นคลอนได้อย่างแน่นอน

ทันใดนั้น เฉินซีก็ชะลอความเร็วลง และในป่าอุดมสมบูรณ์ที่อยู่ห่างออกไปนั้นพลันมีป้อมปราการขนาดมหึมาปรากฏขึ้นภายในขอบเขตการมองเห็นของเขา ป้อมนี้มีขนาดใหญ่มากและตั้งตระหง่านด้วยโครงสร้างทรงกลม และบ่อยครั้งที่ชายหนุ่มเห็นผู้บ่มเพาะบินเข้าและออกจากป้อมปราการนี้ ซึ่งเฉินซีประเมินคร่าว ๆ ได้ว่าป้อมปราการนี้สามารถรองรับคนได้ไม่ต่ำกว่าหมื่นคน

เนื่องจากสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาเช่นนี้สามารถสร้างขึ้นได้ในป่าอาถรรพ์ซึ่งสัตว์อสูรพเนจรไปมาอย่างอิสระ จึงเห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของกองกำลังที่สร้างมันนั้นทรงพลังเพียงใด

ตามที่อวิ๋นน่ากล่าวมานั้น ปราการเดียวดายถูกสร้างโดยกลุ่มพ่อค้าชั้นนำในนครอสนีบาต เพื่อประโยชน์ในการใช้เป็นสถานที่หยุดพักระหว่างการขนส่งสินค้า แต่ต่อมาก็ถูกทิ้งร้างโดยไม่ทราบสาเหตุ และค่อย ๆ กลายเป็นสถานที่พักพิงสำหรับผู้บ่มเพาะที่มาป่าอาถรรพ์เพื่อผจญภัยหรือฝึกฝนตนเอง

เนื่องจากมีสัตว์อสูรจำนวนมากในป่าอาถรรพ์และสถานที่อันตรายอื่น ๆ อีกมากมายที่อยู่เบื้องหลัง เช่น หุบเขาทะเลสาบหงส์ บึงวิญญาณ ทะเลทรายพายุสายฟ้าและหุบเขาวิญญาณโลหิต แม้ว่าสถานที่เหล่านี้จะเต็มไปด้วยภยันตราย แต่ก็มีวัตถุและสมบัติมากมายอยู่ภายใน ซึ่งล้วนหาได้ยากในโลกภายนอก ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นเหมือนขุมสมบัติตามธรรมชาติที่ดึงดูดเหล่าผู้บ่มเพาะให้รีบเร่งมาจากทุกทิศทุกทาง

เพราะในแง่หนึ่ง พวกเขาจะขัดเกลาความแข็งแกร่งของพวกเขาได้ และพวกเขายังสามารถค้นหาสมบัติหายากบางอย่างได้ และอาจกล่าวได้ว่าเป็นการฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว

และเนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งอันพิเศษและความสามารถในการป้องกันที่ยอดเยี่ยมของมัน ปราการเดียวดายจึงกลายเป็นสถานที่พักพิงที่ปลอดภัยที่สุดในใจของผู้บ่มเพาะไปโดยปริยาย

เฉินซีดึงโซ่สีเลือดที่พันรอบเอวของอวิ๋นน่าออก โซ่เส้นนี้ได้รับมาจากกุหลาบ และเป็นสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอดที่มีความสามารถในการกลืนแก่นโลหิตของศัตรูอย่างน่าสะพรึงกลัว

อวิ๋นน่าถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกเมื่อนางได้รับอิสรภาพ จากนั้นนางก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เจ้าคงเพิ่งมาที่ปราการเดียวดายเป็นครั้งแรก ให้ข้าพาเจ้าเข้าไปหรือไม่?” ทว่านางกลับต้องเสียใจทันทีที่กล่าวจบ และไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าการตบปากตนเอง ‘เหตุใดข้าถึงคิดจะไปกับชายผู้แสนอันตรายคนนี้? นี่ข้าเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?’

“ตกลง แล้วข้าจะชดเชยให้เจ้า” เฉินซีพยักหน้า

อวิ๋นน่าตกตะลึง ‘ชายคนนี้เย็นชาและเอาแต่ใจยิ่งนัก แต่เขาสัญญาว่าจะชดเชยให้ข้าจริง ๆ หรือ? สวรรค์! นี่อาจเป็นความเข้าใจผิดของข้าเอง?’

“ไปกันเถอะ” เฉินซีมองไปที่อวิ๋นน่าด้วยท่าทางแปลกพิกล เขามีความรู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้แปลก ๆ อยู่เสมอและดูเหมือนจะหลงอยู่ในความคิดโดยไม่รู้ตัวอยู่บ่อยครั้ง และเขาก็สงสัยว่านางกำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่

อวิ๋นน่าราวกับตื่นขึ้นมาจากความฝันและรีบเดินนำหน้าเขาราวกับลูกกวางตัวน้อยที่หวาดกลัว

เมื่อเห็นภาพนี้ก็ทำให้เฉินซีต้องส่ายหัว ‘รูปลักษณ์ภายนอกของผู้หญิงคนนี้ดูเย้ายวนและเร่าร้อน แต่เหตุใดนางถึงทำตัวเหมือนเด็กน้อยและขาดการไตร่ตรอง? นิสัยของนางก็ด้อยกว่าจริง ๆ’ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าภาพลักษณ์ของเขาในหัวใจของอวิ๋นน่านั้นน่ากลัวจนถึงขีดสุดตั้งแต่เมื่อก่อนหน้านี้ และนางไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อย่างเต็มที่เลย

ในเวลาไม่นาน ทั้งคู่ก็เข้าสู่ปราการเดียวดาย

สิ่งแรกที่เขาเห็นคือห้องโถง ซึ่งมีพื้นที่ขนาดใหญ่จนสามารถรองรับคนได้ถึงสองพันคน ยิ่งไปกว่านั้นที่แห่งนี้คึกคักกว่าที่เฉินซีคาดไว้มาก มีผู้บ่มเพาะมากมายรวมตัวกันเป็นกลุ่มในขณะที่ดื่มสังสรรค์และสนทนากัน ซึ่งมันก็ส่งเสียงดังเป็นอย่างมาก

แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีต้องรู้สึกประหลาดใจนั้นคือมาตรฐานของผู้บ่มเพาะที่นี่ค่อนข้างสูงและถึงขนาดที่มีผู้บ่มเพาะบางคนที่สามารถกดดันเขาได้ แม้แต่ผู้บ่มเพาะที่ธรรมดาที่สุดของที่นี่ ก็ยังมีความแข็งแกร่งที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง

ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีที่ว่างสำหรับผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลและขอบเขตเคหาทองคำเพื่อตั้งหลักที่นี่เลย

ยิ่งกว่านั้น เฉินซีก็สังเกตเห็นว่าในขณะที่คนเหล่านี้กำลังสนทนา แต่การจ้องมองของพวกเขากลับแฝงไปด้วยความเป็นศัตรูเล็กน้อยและความระมัดระวังเป็นอย่างมาก ซึ่งนี่เป็นลักษณะเฉพาะของผู้บ่มเพาะที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้อย่างโชกโชนและผ่านการต่อสู้นองเลือดมาหลายครั้งเท่านั้นที่จะครอบครองได้

การมาถึงของเฉินซีและอวิ๋นน่าทำให้ห้องโถงเงียบลงทันใด และสายตาของทุกคนต่างจับจ้องมาที่พวกเขา หรือบางทีอาจกล่าวได้ว่ามันบรรจบไปที่อวิ๋นน่า ซึ่งสายตาของคนเหล่านั้นต่างก็เร่าร้อน ไร้ยางอาย และเต็มไปด้วยความปรารถนา

เฉินซีเองก็ตระหนักถึงเรื่องนี้ดีเช่นกัน จากนั้นเขาก็หันกลับไปมองที่อวิ๋นน่า ชายหนุ่มจึงได้พบว่ารูปร่างหน้าตาของหญิงสาวคนนี้ถือได้ว่าไม่เลว และมีคุณสมบัติในการดึงดูดความสนใจของผู้คนโดยแท้!

ซึ่งอันที่จริง รูปลักษณ์ของอวิ๋นน่าไม่เพียงแค่ไม่เลวเท่านั้น ผมสีแดงที่ม้วนเป็นลอนเล็กน้อยและปล่อยไว้หลวม ๆ บนบ่าของนางยังทำให้ใบหน้าอันงดงามและมีเสน่ห์ของหญิงสาวมีความเย้ายวนใจที่น่าหลงใหล ทรวงอกที่อวบอิ่มและใหญ่โตของนางถูกเผยออกมาบางส่วน ซึ่งเต็มและเรียบเนียนจนทำให้ใครต่อใครต้องน้ำลายไหล โดยเฉพาะอย่างยิ่งขาเรียวยาวของนางที่โผล่พ้นใต้กระโปรงหนังสั้นก็ขาวเนียนจนดูเหมือนงาช้างกลมเกลี้ยง ซึ่งเผยให้เห็นเสน่ห์ที่ยากจะพรรณนา

หญิงงามที่มีร่างกายเร่าร้อนและเย้ายวนได้ปรากฏตัวตรงหน้าทุกคน ดังนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่ดึงดูดความสนใจของพวกเขา

แม้ว่าอวิ๋นน่าจะไม่ได้ไร้ประสบการณ์เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาที่แฝงความปรารถนาของทุกคน ทว่านางก็อดไม่ได้ที่จะเผยให้เห็นความตื่นตระหนก และนางก็ขยับเข้าใกล้เฉินซีโดยไม่รู้ตัว

แต่การกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจของนางนั้นกลับกระตุ้นความตื่นเต้นเหล่านี้ด้วยซ้ำ

เสียงหวีดหวิวดังขึ้นภายในห้องโถงทันที ผู้คนเหล่านี้ต่างก็หัวเราะเยาะเย้ยอย่างไร้ยางอาย และคำกล่าวที่น่ารังเกียจบางคำก็เปล่งออกมาจากปากของคนบางคน

“สาวน้อย ไปกับพี่ใหญ่สักคืนสิ ข้ารับประกันว่าเจ้าจะอยู่ในสวรรค์และไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้ต้องการมากกว่านี้ได้!”

“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้พบสาวน้อยที่น่าดึงดูดในสถานที่รกร้างแห่งนี้ ดูผิวของนางสิ มันนุ่มนวลและบอบบางชะมัด!”

อวิ๋นน่ารู้สึกละอายใจและขุ่นเคืองเป็นอย่างมากขณะที่นางเม้มริมฝีปากแน่น ดูเหมือนนางจะไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้ากล่าวออกมา

เฉินซีขมวดคิ้วและกำลังจะกล่าว แต่จู่ ๆ คลื่นความโกลาหลก็ดังขึ้นจากด้านหลังฝูงชน

“หลีกทาง! หลีกทาง!” ผู้บ่มเพาะมากกว่าสิบคนได้เดินฝ่าฝูงชนจนพวกเขาเบียดเสียดกัน คนกลุ่มนี้สวมเสื้อผ้าสีดำรัดกุมที่มีลวดลายนกแร้งที่ไหล่ซ้าย และมีท่าทางที่ดุร้ายเป็นอย่างมาก ทุกที่ที่พวกเขาผ่านไป ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกไม่พอใจแต่กลับไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกเขาหวาดกลัวคนเหล่านี้เป็นอย่างมาก

หลังจากที่คนเหล่านี้เดินมาที่เบื้องหน้า พวกเขาก็ล้อมเฉินซีและอวิ๋นน่าอย่างโจ่งแจ้ง

อวิ๋นน่าหวาดกลัวจนหน้าซีดเผือด เนื่องจากนางจดจำพวกเขาได้ พวกเขาคือกลุ่มโจรแร้งพเนจรที่มีชื่อเสียงเน่าเหม็นที่เต็มไปด้วยวายร้ายที่มีฝีมือฉกาจ

พวกเขาท่องไปในป่าอาถรรพ์อย่างอิสระและหาเลี้ยงชีพด้วยการปล้นสะดมผู้อื่น มือของพวกเขาทุกคนต่างก็อาบไปด้วยเลือดของผู้คนนับไม่ถ้วน และครั้งหนึ่งเคยกองกำลังมากมายที่ต้องการกำจัดพวกเขา แต่ก็ไม่มีใครทำสำเร็จ สมาชิกทุกคนในกลุ่มนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขาม! โดยเฉพาะผู้นำของพวกเขา อีแร้งเมิ่งก็มีชื่อเสียงเลื่องลือจนทุกคนต่างก็เกรงกลัว!

เนื่องจากพวกเขาจะเลือกผู้บ่มเพาะอิสระที่ไม่ได้สังกัดนิกายใดเป็นเป้าหมายโดยเฉพาะ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยทำให้ศิษย์ของนิกายขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงขุ่นเคืองจนถึงตอนนี้ จึงทำให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายมากขึ้นแทน

แต่สิ่งที่ทำให้อวิ๋นน่าหวาดกลัวนั้นคือ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา นางตกเป็นเป้าหมายของอีแร้งเมิ่ง ซึ่งเป็นหัวหน้าของกลุ่มโจรแร้งพเนจร และอีกฝ่ายได้กระจายข่าวออกไปว่าหากนางไม่ตกลงที่จะเป็นนางบำเรอของตน เขาก็จะใช้กำลังเพื่อครอบครองร่างกายของนาง…

นางเป็นเพียงศิษย์จากตระกูลเล็ก ๆ ที่เสื่อมถอย ดังนั้นนางจะไปต่อต้านหัวหน้าของกลุ่มโจรแร้งพเนจรได้อย่างไร? ในแง่หนึ่ง เหตุผลที่นางเสี่ยงเข้าไปในหุบเขาทะเลสาบหงส์ นั่นก็เพื่อโป่งรากสนโลหิต และก็เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ แต่นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าตอนนี้ยังคงเจอวายร้ายเหล่านี้

เพียงชั่วพริบตา เลือดสีแดงก่ำบนใบหน้าของอวิ๋นน่าก็จางหายไปอย่างสมบูรณ์ และร่างกายของนางก็สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้

“ฮึ่ม! นังแพศยา! ไม่เพียงแต่เจ้าไม่ตกลงที่จะเป็นนางบำเรอของหัวหน้าข้า เจ้ากลับมีผู้ชายที่ดูเหมือนขอทานอยู่เคียงข้าง หรือเจ้าคิดว่าหัวหน้าของข้าต่ำต้อยยิ่งกว่าขอทานกัน?”

“ชายโฉดหญิงชั่ว! พวกเจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริง ๆ!”

“ท่านหัวหน้า ท่านได้เห็นหรือไม่? ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตอนนี้แล้ว ข้าคิดว่าเราควรฆ่าชายชั่วผู้นี้แล้วพานางกลับไป ให้พวกเราพี่น้องได้เพลิดเพลินหรรษากัน และไม่สายเกินไปที่จะฆ่านางหลังจากนั้น” เหล่าโจรแร้งพเนจรต่างก็หัวเราะส่งเสียงดังอย่างไร้ยางอาย และสายตาที่พวกเขาจดจ้องไปที่เฉินซีนั้นก็เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามและเจตนาฆ่า แต่เมื่อพวกเขามองไปยังอวิ๋นน่า มันก็เปลี่ยนเป็นความปรารถนาอันแรงกล้าที่ถูกปล่อยออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการกลืนกินอวิ๋นน่าเข้าไปทั้งตัว

ผู้บ่มเพาะคนอื่นในห้องโถงล้วนเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่มีใครที่จะยืนขึ้นเพื่อหยุดพวกมันสักคน พวกเขาเลือกที่จะดูอย่างเฉยเมยอยู่ที่ด้านข้าง เนื่องจากกลุ่มโจรแร้งพเนจรนั้นแข็งแกร่งเกินไป และพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะล่วงเกินพวกมันเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจะเสี่ยงชีวิตและยืนหยัดเพื่อคนแปลกหน้าได้อย่างไร?

อวิ๋นน่ารู้สึกหวาดกลัวยิ่งขึ้น จึงแสดงสีหน้าสิ้นหวังออกมา นางมองไปที่เฉินซีที่อยู่เคียงข้างและเปิดปากของนางด้วยความตั้งใจที่จะกล่าวอะไรบางอย่าง ซึ่งดูเหมือนนางจะต้องการบอกกับเฉินซีถึงสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังและเตือนให้เฉินซีรีบออกไปคนเดียว

แต่เฉินซีกลับหยุดนางไว้แทน จากนั้นเขาก็มองไปยังคนเหล่านั้นที่อยู่ตรงหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าข้าจะได้พบกับกองกำลังขนาดใหญ่ทันทีที่มาถึงปราการเดียวดาย”

อวิ๋นน่าตกตะลึง จากนั้นนางก็มองไปที่เฉินซีด้วยสีหน้าหวาดกลัวและกังวล ราวกับนางไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดชายคนนี้ถึงยังมีอารมณ์เล่นตลกในเวลาเช่นนี้ หรือว่าเขาเป็นเสียสติเพราะความหวาดกลัว?

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าวายร้ายแห่งกลุ่มโจรแร้งพเนจรก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเย้ยหยันและกล่าวว่า “เจ้าคนที่คลุมด้วยผ้าขี้ริ้วคนนี้น่าสนใจจริง ๆ เขากำลังเผชิญกับความตายที่ใกล้เข้ามา แต่ยังคงกล่าววาจาอวดดีเช่นนี้ พวกโง่เขลาแบบนี้ไม่มีความกลัวเลยจริง ๆ”

เฉินซีเพียงยกยิ้ม จากนั้นเขาก็ถามอย่างจริงจังว่า “การฆ่าคนในปราการเดียวดายนั้นมิเป็นอะไรใช่หรือไม่?”

อวิ๋นน่ายังคงเหม่อลอยและไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงในคำกล่าวของเฉินซี ดังนั้นนางจึงพยักหน้าทันที

เฉินซีไม่ถามอะไรอีกต่อไป จากนั้นเขาก็เงื้อมือขึ้นเพื่อดึงยันต์ศัสตราออกมาในฉับพลันนั้น!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]