บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 347

บทที่ 347 ขัดเกลายันต์ศัสตราอีกครั้ง

บทที่ 347 ขัดเกลายันต์ศัสตราอีกครั้ง

เฉินซีรู้จักการบ่มเพาะของตนเองเป็นอย่างดี แม้ว่าทั้งทักษะขัดเกลากายาและการบ่มเพาะปราณของเขาจะบรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูงแล้ว แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะบรรลุไปอีกขั้นก่อนที่การชุมนุมดาวรุ่งจะเริ่มต้นขึ้น

ซึ่งมันเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อครั้งที่เขาได้เข้าสู่เมืองอีกาคลั่ง การแปรสภาพร่างกายและการบ่มเพาะปราณของเขานั้นอยู่ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้นเท่านั้น และตอนนี้ผ่านไปเพียงไม่ถึงครึ่งปี ทว่าเส้นทางการบ่มเพาะทั้งสองประเภทของเขาก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถบรรลุสองขั้นได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งการบรรลุด้วยความเร็วเช่นนี้ก็น่าตกตะลึงเป็นอย่างมากแล้ว และถ้าหากเรื่องนี้แพร่ออกไปในโลกภายนอก มันก็จะทำให้ทุกคนตกใจจนอ้าปากค้างอย่างแน่นอน

ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการต่อสู้อย่างต่อเนื่องที่เขาประสบในช่วงเวลานี้ การต่อสู้เป็นครูสอนที่ดีที่สุด และการต่อสู้อย่างเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเช่นนี้เองที่ทำให้ความแข็งแกร่งของเฉินซีบรรลุถึงสภาวะในปัจจุบัน แต่ทั้งหมดนี้เขาไม่ได้มาด้วยโชค เนื่องจากนี่คือความสำเร็จที่สามารถบรรลุได้หลังจากการบ่มเพาะด้วยตนเองอย่างเต็มที่เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพัฒนาการบ่มเพาะของเขาจากขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูงไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์ เพราะเมื่อการบ่มเพาะของคนคนหนึ่งบรรลุถึงสภาวะดังกล่าว มันก็ไม่ได้พึ่งพาเพียงการบ่มเพาะอย่างขยันขันแข็งเท่านั้น แต่ยังอาศัยการสั่งสมความเข้าใจและการขัดเกลาจิตใจอีกด้วย

และแน่นอนว่าด้วยสถานะปัจจุบันของเฉินซี การบรรลุไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์นั้นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด แต่เพื่อที่จะสามารถบรรลุไปสู่ขอบเขตจุติในภายภาคหน้าได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้น เขาจึงเลือกที่จะคงระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันชั่วคราว และตั้งใจที่จะรวบรวมความแข็งแกร่งของตนเองให้มั่นคงอีกครั้ง

เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าเมื่อผู้บ่มเพาะบรรลุไปสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล มันก็เทียบเท่ากับการสร้างรากฐานแห่งเต๋า และยิ่งรากฐานแห่งเต๋าแข็งแกร่งมากเท่าใด ก็ยิ่งมีความมั่นใจในการบรรลุไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางในอนาคตมากขึ้น

ในทางกลับกัน เมื่อผู้บ่มเพาะบรรลุไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้ว ก็เท่ากับได้ครอบครองรากของสวรรค์และโลกอยู่ในร่างกาย เมื่อได้หยั่งรากที่ว่าแล้ว เขาก็ไม่ใช่จอกแหนที่แกว่งไปแกว่งมาบนหนทางแห่งเต๋าอย่างไม่มีกำหนดอีกต่อไป

ในเวลานี้ ยิ่งรากฐานมั่นคงมากเท่าใด ความสำเร็จที่จะได้รับในอนาคตก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

เช่นเดียวกับชายชราผอมแห้งที่ต่อสู้กับเฉินซีมาก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายเพียงหยั่งถึงเต๋ารองเพียงสี่ประเภทเท่านั้น แต่ก็สามารถบรรลุขอบเขตจุติได้ ทว่ารากฐานที่คนคนนี้วางไว้ในช่วงเวลาที่อยู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางนั้นอ่อนแอเป็นอย่างมาก ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเป็นคู่มือของเฉินซี

นี่คือความแตกต่างของรากฐานและทรัพยากร

ผู้บ่มเพาะเกือบทั้งหมดต่างก็เข้าใจในหลักการนี้ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่อดทนต่อความยากลำบากโดยเลือกจะไม่บรรลุขอบเขตและพยายามอย่างหนักเพื่อสร้างรากฐานของตนเองให้มั่นคง

…เหตุผลนั้นง่ายมาก ประการแรก พรสวรรค์ของพวกเขานั้นธรรมดาเกินไป และประการที่สองก็คือ อายุขัยของพวกเขาจะไม่เพียงพอ หากพวกเขาไม่คิดหาวิธีบ่มเพาะที่จะบรรลุได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาคงจะกลายเป็นกองกระดูกและล้มตายไปตั้งนานแล้ว

ดังนั้นนี่คือความสิ้นหวังของผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ ในแง่หนึ่ง พวกเขาต่างก็ตระหนักได้ว่า ถ้าต้องการไปให้ไกลในเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ พวกเขาต้องวางรากฐานอย่างถูกต้อง แต่เนื่องจากปัญหาเรื่องอายุขัยที่สั้น พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากหาทางลัดและไม่สนใจว่ารากฐานจะมั่นคงหรือไม่และหันไปเร่งรีบบรรลุขอบเขต ด้วยวิธีนี้อายุขัยของพวกเขาจะยืดออกไปอีกสองสามร้อยปี

ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้บ่มเพาะน้อยคนที่สามารถปรับสมดุลการบ่มเพาะทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกันได้ คงจะมีเพียงอัจฉริยะจากนิกายที่มีชื่อเสียงและมีขนาดใหญ่เท่านั้นที่มีความสามารถดังกล่าว พวกเขายังอายุน้อยและมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา ความสามารถในการทำความเข้าใจที่โดดเด่น การสอนสั่งที่เอาใจใส่จากนิกายและผู้อาวุโสของพวกเขา อีกทั้งยังมีทรัพยากรจำนวนมหาศาลที่คอยสนับสนุนพวกเขา ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่รากฐานของพวกเขาจะไม่มั่นคง

แม้ว่าเฉินซีจะมาจากครอบครัวที่ยากจนในเมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกล แต่เขาก็ไม่ได้ขาดแคลนพรสวรรค์และความสามารถในการเข้าใจ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีทรัพยากรมากมายที่สามารถใช้ในการบ่มเพาะ ดังนั้นเขาจึงไม่เร่งรีบที่จะบรรลุเพราะมันจะส่งผลต่อความสำเร็จในอนาคต ซึ่งเขาจะไม่มีวันทำผิดพลาดแน่

ด้วยเหตุนี้ เฉินซีจึงพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาในด้านอื่น ๆ แทนเช่นเดียวกับสิ่งที่ตั้งใจจะทำในตอนนี้ โดยเริ่มจากขัดเกลายันต์ศัสตราอีกครั้ง เพื่อดึงความแข็งแกร่งที่เขามีออกมาอีกขั้น

ฟึ่บ!

กองวัสดุหายากและล้ำค่าจำนวนมากถูกเฉินซีนำออกมาจากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ มีเลือดของงูหลามตาเงินเกล็ดแดง ซึ่งเป็นสัตว์กลายพันธุ์ในยุคบรรพกาล กรงเล็บของนกกระเรียนหัวใจม่วง ไม้แก่นอัคคีลายหยกอายุห้าพันปี แก่นวารีหลากสีจากบ่ออสูรน้ำแข็ง และวัสดุต่าง ๆ อีกกว่ายี่สิบชนิด

เฉินซีได้วัสดุเหล่านี้มาจากป่าทมิฬ ลานศิลาภูตผี ถ้ำอสูรน้ำแข็ง และสถานที่อันตรายอื่น ๆ ที่อยู่ในระหว่างทางมาที่นี่ พวกมันล้วนเป็นวัสดุล้ำค่าที่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินเพียงอย่างเดียวหากวางขายในท้องตลาดของโลกภายนอก

แม้แต่มูลค่าของวัสดุแต่ละชิ้นก็เพียงพอที่จะแลกเปลี่ยนเป็นสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอด

แต่ตอนนี้เฉินซีได้ตัดสินใจที่จะหลอมวัสดุกว่ายี่สิบชนิดเหล่านี้และใช้มันเพื่อปรับปรุงคุณภาพของยันต์ศัสตราอีกครั้ง หากผู้บ่มเพาะคนอื่นรู้เรื่องนี้ พวกเขาจะต้องก่นด่าสาปแช่งอย่างแน่นอน

ส่วนเหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ทันทีที่คุณภาพของยันต์ศัสตราเพิ่มขึ้น มันอาจจะเทียบได้แค่สมบัติวิเศษระดับสวรรค์เท่านั้น ในขณะที่มูลค่าของวัสดุเหล่านี้เพียงพอที่จะซื้อสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ได้มากมาย

อย่างไรก็ตาม เฉินซีก็ไม่ได้สนใจสมบัติวิเศษชิ้นอื่นซึ่งแทบไม่มีช่องทางให้เติบโตเลย ยิ่งไปกว่านั้น การบ่มเพาะในปัจจุบันของเขาไม่สามารถใช้สมบัติวิเศษระดับสวรรค์ได้

แต่ยันต์ศัสตรานั้นแตกต่างออกไป ไม่เพียงแต่มันจะสามารถเติบโตอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้น คุณภาพของมันก็ไม่ได้ถูกจำกัดโดยพลังของผู้บ่มเพาะเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่คุณภาพของมันเพิ่มขึ้น มันจะเทียบเท่ากับสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ แต่เขาก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้มันบดขยี้สมบัติวิเศษชิ้นอื่นได้ และนี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เฉินซีเต็มใจที่จะจ่ายในราคาดังกล่าว

อันที่จริง มันมีวิธีในการเพิ่มคุณภาพของยันต์ศัสตราที่รวดเร็วและสะดวกกว่า ซึ่งต้องใช้ไม้ศักดิ์สิทธิ์สีคราม เหล็กพลังสุริยัน ผลึกเพลิงเทวะ วารีทมิฬเอกะ และธุลีโกลาหลเพื่อขัดเกลายันต์ศัสตราและผลลัพธ์ของมันจะเหนือยิ่งกว่าวัสดุเหล่านี้อย่างนับไม่ถ้วน

แต่เฉินซีไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนั้น ตามที่จี้อวี๋ได้กล่าวไว้ สมบัติศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าชิ้นนี้ล้วนเกิดจากต้นกำเนิดของธาตุทั้งห้าตามธรรมชาติและยังสามารถพัฒนาแก่นแท้ของธาตุทั้งห้าได้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น หากสมบัติศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าชนิดนี้ถูกใช้เมื่อยันต์ศัสตราบรรลุไปสู่ระดับของสมบัติอมตะ มันจะสามารถพัฒนาโลกขนาดใหญ่ภายในยันต์ศัสตราและวิญญาณศัสตราที่เกิดจากสิ่งนี้จะทรงพลังอย่างยิ่ง ทำให้มันสามารถอยู่ในอันดับต้น ๆ ของสมบัติอมตะ

อย่างไรก็ตาม การขัดเกลายันต์ศัสตราเพื่อยกระดับคุณภาพของมันนั้นจำเป็นต้องหลอมด้วยสมบัติศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ และเห็นได้ชัดว่าเป็นการสิ้นเปลืองของขวัญที่สวรรค์ประทานมาให้โดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งคนอื่นจะไม่ทำเช่นนี้เป็นอันขาด

ปัง!

ยันต์ศัสตราพาดผ่านอากาศในขณะที่เตาหลอมสีแดงเข้มลอยออกมาจากพื้นผิวของมันอย่างกะทันหัน เตาถูกขดเป็นวงด้วยเปลวเพลิงที่ลุกโชนด้วยอักขระยันต์ และมันแฝงไปด้วยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวที่ดูเหมือนจะสามารถหลอมรวมทุกสิ่งในโลกได้

เตาหลอมนี้ถูกเรียกว่า ‘เตาหลอมเปลวเพลิงสุญตา’ โครงสร้างของเตาหลอมถูกสร้างขึ้นจากอักขระยันต์ธาตุไฟนับพัน ซึ่งมาจากภายในยันต์เทวะไฟโลกันต์ แม้ว่ามันจะไม่ใช่เตาหลอมที่มีอยู่จริง แต่ประสิทธิภาพของมันก็ยังดีกว่าเตาหลอมของจริงเสียอีก มันถูกใช้เป็นพิเศษเพื่อประโยชน์ในการหลอมวัสดุเพื่อขัดเกลายันต์ศัสตรา

ครั้งหนึ่ง เฉินซีเคยได้ศึกษายันต์เทวะทั้งห้าชนิดภายในยันต์ศัสตราอย่างถ่องแท้ และเขาก็พบว่ายันต์เทวะทุกชนิดเป็นเหมือนขุมสมบัติที่ไม่รู้จักหมดสิ้นและมีประโยชน์มากมายมหาศาล เช่น พวกมันสามารถใช้เพื่อสร้างยันต์เลิศล้ำต่าง ๆ หรือควบแน่นเตาหลอมเปลวเพลิงสุญตาที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา และอื่น ๆ อีกมากมาย จึงอาจกล่าวได้ว่ามันมีประโยชน์ซึ่งครอบคลุมสิ่งต่าง ๆ อย่างมากมาย

เตาเผาลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าในขณะที่ขดตัวด้วยเปลวไฟ และอักขระยันต์เป็นเหมือนรัศมีอันมีประกายแวววาว

เฉินซีตวัดนิ้วของเขาเพื่อวาดเปลวเพลิงวิญญาณ เปลวเพลิงดังกล่าวมีสีขาวระยับ จากนั้นเขาจึงค่อย ๆ เทมันลงในเตาหลอมเปลวเพลิงสุญตา ทำให้ทั้งเตาลอยขึ้นอย่างฉับพลัน จากนั้นอักขระยันต์จำนวนมากก็เปล่งแสงและพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เมื่อมองดูเหมือนว่าเตาทั้งหมดจะตั้งใจกระพือเบา ๆ ในอากาศ

เฉินซีไม่กล้ารอช้าและหยิบวัสดุจำนวนมากที่อยู่บนพื้น ก่อนที่จะโยนมันลงในเตาอย่างต่อเนื่อง

ชี่! ชี่!

เมื่อวัสดุเหล่านั้นถูกนำเข้าสู่เตาเผา พวกมันก็ถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟที่ไร้ขอบเขตและค่อย ๆ หลอมละลายด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตา ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นหยดของเหลวที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในเตาหลอมอย่างต่อเนื่อง

หลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว เฉินซีก็ตวัดนิ้วทั้งสิบอย่างรวดเร็วราวกับเงา ขณะที่ผนึกลึกลับจำนวนมากก็บินออกมาราวกับชั้นคลื่นยักษ์

ครืนนน!

คลื่นเสียงที่ราวกับฟ้าร้องดังก้องออกมาจากภายในเตาหลอมเปลวเพลิงสุญตา จากนั้นเปลวเพลิงที่เย็นยะเยือกและหนักหน่วงต่างก็โหมกระพืออยู่ท่ามกลางอากาศขณะที่มันส่งเสียงปะทุ

นี่คือกระบวนการหลอมรวมวัสดุ ความแรงของเปลวไฟ ระยะเวลาการให้ความร้อน และความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเคล็ดวิชาการขัดเกลาอุปกรณ์ ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพของวัสดุ นิ้วทั้งสิบของเฉินซีก็ไม่ได้รอช้าเลยแม้แต่น้อย พวกมันขยับไหวและวาดไปมาด้วยความเร็วที่ไม่มีใครเทียบได้ ทำให้ผนึกนับพันพุ่งเข้ามาในเตาหลอมอย่างพร้อมเพรียงกัน

คลื่นไฟโหมกระพือและเกิดเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องขณะที่หยดแก่นแท้ที่ละลายจากวัสดุต่าง ๆ ก็เริ่มผสานเข้าด้วยกัน และเสียงแหลมบาดหูที่เปล่งออกมาจากสิ่งนี้ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างแน่นอน

แต่เฉินซีก็แสร้งเป็นหูหนวกกับเรื่องทั้งหมดนี้ ดวงตาของเขาจ้องมองโดยไม่กะพริบตาขณะที่ทุ่มเททั้งหัวใจและจิตวิญญาณเพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงภายในเตาหลอม โดยไม่กล้าผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย

เนื่องจากเขารู้เป็นอย่างดีว่าหากเกิดความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย วัสดุทั้งหมดก็จะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ และด้วยวิธีนี้ เขาจะไม่รู้ว่าเมื่อใดที่เขาจะสามารถยกระดับคุณภาพของยันต์ศัสตราได้อีกครั้ง

กระบวนการนี้ดำเนินต่อไปอีกหลายวัน

ในวันนี้ ผู้บ่มเพาะกลุ่มหนึ่งที่มีสีหน้าเคร่งขรึมมาถึงห้องโถงของปราการเดียวดาย พวกเขาเป็นกลุ่มพ่อค้าของหอขุมทรัพย์สวรรค์ในนครอสนีบาต และพวกเขามาที่ปราการเดียวดายในครั้งนี้ก็เพื่อซื้อวัสดุต่าง ๆ

ในขณะนี้ ผู้บ่มเพาะที่อาศัยอยู่ใกล้กับปราการเดียวดายได้ตั้งแถวยาวมาก เนื่องจากพวกเขาตั้งใจจะขายวัสดุทั้งหมดที่พวกเขาได้รับในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา

คนที่เป็นผู้นำของกลุ่มพ่อค้าจากหอขุมทรัพย์สวรรค์ของนครอสนีบาตนั้น เป็นชายวัยกลางคนที่มีหน้าตาหล่อเหลาและสง่างามซึ่งสวมใส่ชุดปักลาย และนามของเขาก็คือเหยียนเฉิง การบ่มเพาะของเขาอยู่ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูง แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะไม่ถือว่าสูงนัก แต่เขาก็มีอีกตัวตนหนึ่งซึ่งคือนายหน้ารายใหญ่ กอปรกับเขาเป็นคนที่เข้ากับผู้คนได้ง่ายและมีทักษะในการค้า คนคนนี้จึงกลายเป็นผู้นำของกลุ่มทั้งหกสิบคนนี้ไปโดยปริยาย

ในขณะนี้ เหยียนเฉิงกำลังนั่งตัวอยู่ทางด้านข้างขณะที่เขาสังเกตความคืบหน้าของการซื้อขาย ด้วยตัวตนของเขาในฐานะนายหน้าระดับสูงสุด เขาจึงไม่จำเป็นทำทุกอย่างเองอีกต่อไป และเขาจะออกมาเจรจาเองก็ต่อเมื่อพบสมบัติล้ำค่าเท่านั้น

ที่ด้านข้างของเขามีหญิงสาวผู้เย็นชาและงดงามหาอย่างที่เปรียบมิได้ยืนอยู่ นางมีรูปร่างสูงสมส่วน มีผิวที่ประชันกับหิมะ และนางเป็นเหมือนดอกบัวหิมะที่บานบนยอดเขาน้ำแข็ง เยือกเย็น อ้างว้าง เย่อหยิ่ง และไม่มีผู้ใดสามารถล่วงละเมิดได้ นี่คือบุตรสาวของเขา เหยียนเยียน อีกทั้งการบ่มเพาะของนางก็ยังเหนือล้ำยิ่งกว่าเขาเสียอีก และนางติดตามเขามาจากนครอสนีบาตก็เพราะนางกังวลเรื่องความปลอดภัยของเขา

“เจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรอีก กลุ่มพ่อค้าของเราไม่คิดนำคนนอกเข้ามา”

“ข้าสามารถจ่ายค่าธรรมเนียมจำนวนหนึ่งได้ และเจ้าก็ไม่ต้องกังวล เราจะไม่สร้างปัญหาระหว่างทางโดยเด็ดขาด นับประสาอะไรกับการรบกวนคำสั่งของกองคาราวานพ่อค้า”

“ข้าบอกแล้วไงว่าไม่!”

เหยียนเฉิงเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงโต้เถียง จากนั้นเขาก็มองไปที่บุตรสาวของตน ก่อนที่จะมองไปยังหญิงสาวที่อยู่ข้าง ๆ ลูกสาวของเขา ซึ่งมีผมสีแดงที่ม้วนเป็นเกลียว และเขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะก่อนร้องปรามคนทั้งคู่ “ช่างเถอะ ระยะทางจากที่นี่ไปยังนครอสนีบาตนั้นราวสองแสนห้าหมื่นลี้และเต็มเปี่ยมไปด้วยอันตรายในตลอดทาง ดังนั้นเราจะพานางไปด้วย”

เหยียนเยียนขมวดคิ้ว “ท่านพ่อ แล้วถ้านาง…”

เหยียนเฉิงโบกมือเพื่อขัดขวางนาง “ทำตามที่ข้าบอกก็พอ”

เหยียนเยียนขมวดคิ้วแน่น หลังจากเงียบไปนาน นางก็เงยหน้าขึ้นและมองตรงไปที่หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นก็กล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าอย่าได้มีเจตนาอื่นจะดีกว่า มิฉะนั้นข้าอาจฆ่าเจ้าได้ทุกเมื่อ!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]