บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 368

บทที่ 368 สาวงามรวมตัว

บทที่ 368 สาวงามรวมตัว

ผู้คนพลุกพล่านเดินเบียดเสียดสวนทางกันเต็มท้องถนน

พริบตาเดียว เฉินซีก็มาถึงอีกฝั่งของถนน ก่อนจะยื่นแขนออกไปโอบไหล่เฉินอวี่น้อยไว้แน่น

“เราไม่ได้เจอกันมานานปี เฉินอวี่น้อยก็โตขึ้นมากเสียแล้ว อืม เจ้าหล่อกว่าตอนที่พ่อของเจ้ายังเด็กด้วยซ้ำ” เฉินซีลูบหัวของคนตัวเล็กอย่างรักใคร่และชมเชยด้วยรอยยิ้ม

เฉินอวี่กะพริบตากลมโตที่มีสีดำสนิท พลางหัวเราะคิกคักไม่หยุด ขณะที่นั่งอยู่บนไหล่ของเฉินซี

“เหตุใดพวกเจ้าจึงมาที่นี่กัน? แล้วเฉินฮ่าวอยู่ที่ใด?” เฉินซีหยอกล้อเฉินอวี่ตัวน้อยในขณะที่เขาหันไปถามเฟยเหลิ่งชุ่ย

“ท่านพ่อบอกว่ามีงานของตระกูลที่ต้องจัดการมากมายนับไม่ถ้วน ทำให้เขาไม่สามารถออกห่างจากเมืองได้ ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้ท่านแม่พาข้ามาที่นครหลวงธารสายไหมเพื่อให้กำลังใจท่านลุง” เฉินอวี่ตัวน้อยตอบตัดหน้าเฟยเหลิ่งชุ่ย

เฉินซีเข้าใจทุกอย่างในทันที ตระกูลเฉินในยามนี้น่าจะอยู่ในช่วงของการขยายตัวอย่างรวดเร็ว จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ในเวลานี้เฉินฮ่าวผู้เป็นน้องชายของเขาจะต้องอยู่รับผิดชอบสถานการณ์โดยรวม

“เฉินซี ไม่เจอกันนานเลย ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จเช่นนี้ ในโลกแห่งการบ่มเพาะของดินแดนทางใต้ยามนี้ไม่มีใครเลยที่ไม่รู้จักชื่อของเจ้า” ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่อบอุ่นและจริงใจ นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนก็เดินเข้ามาหาเขา ตามมาด้วยชายหญิงที่งดงามและหล่อเหลาคู่หนึ่ง พวกเขาคือสองพี่น้องมู่เหยากับมู่เหวินเฟยนั่นเอง

เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซี ใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข

“คารวะผู้อาวุโสเหวินเสวี่ยน” เฉินซีรีบส่งเฉินอวี่ตัวน้อยให้เฟยเหลิ่งชุ่ย ก่อนจะเดินไปทักทายนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนผู้เป็นอาจารย์ของน้องชายเขา และอีกฝ่ายก็ช่วยดูแลน้องชายของเขาตอนที่อยู่ในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเป็นอย่างดี ดังนั้นเฉินซีจึงไม่กล้าละเลยอีกฝ่าย

เหวินเสวี่ยนโบกมือก่อนจะกล่าวด้วยความไม่พอใจว่า “ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว เจ้ายังเรียกข้าแบบนั้นอยู่อีกหรือ เด็กน้อย หากอาจารย์ข้ารู้เข้า เขาจะต้องดุข้าอย่างหนักแน่ ๆ”

“ตกลง ตกลง พี่ใหญ่เหวินเสวี่ยน เช่นนี้เป็นอย่างไร?” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม อาจารย์ของเหวินเสวี่ยนคือผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร เป่ยเหิง ผู้เป็นพี่น้องร่วมสาบานของเฉินซี หากว่ากันตามลำดับอาวุโส เหวินเสวี่ยนอาจจะต้องเรียกเขาว่าอาจารย์ลุง ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่เขาจะนับอีกฝ่ายเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน

ขณะที่พูด เขาก็หันไปยิ้มให้มู่เหยาและมู่เหวินเฟยเป็นการทักทาย

ต่อจากนั้นเฉินซีก็พูดคุยกับตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อ และซ่งหลินครู่หนึ่ง ก่อนที่จะนำทางพวกเขาทั้งหมดไปยังที่พักของตน

ถนนพลุกพล่านไปด้วยผู้คนและเสียงอึกทึกครึกโครมมาก ดังนั้นมันจึงไม่ใช่สถานที่ที่ดีนักในการหวนนึกถึงวันเก่า ๆ

ระหว่างทางเฉินซีค้นพบว่าเหตุผลที่เฉินอวี่กับเฟยเหลิ่งชุ่ยสามารถมาถึงนครหลวงธารสายไหมได้อย่างปลอดภัยนั้นต้องขอบคุณเหวินเสวี่ยนที่คอยดูแลพวกเขา ด้วยการปรากฏตัวของเหวินเสวี่ยนซึ่งเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายา ดังนั้นหากพวกเขาไม่ได้พบกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี พวกเขาก็จะไม่เผชิญกับอันตรายใด ๆ

กลุ่มของตู้ชิงซีเองก็พลอยได้รับประโยชน์จากการเป็นสหายของเฉินซีในการติดตามกลุ่มของเหวินเสวี่ยนมายังนครหลวงนี้ด้วยเช่นกัน

ท้ายที่สุดแล้ว ดินแดนทางใต้ก็นับว่าอยู่ห่างจากนครหลวงธารสายไหมมาก และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่สูงนัก หากไม่มีผู้เยี่ยมยุทธ์เหวินเสวี่ยนคนนี้เป็นผู้นำกลุ่ม พวกเขาคงไม่อาจมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย

สิ่งที่ทำให้เฉินซีค่อนข้างอายและลำบากใจก็คือเมื่อตู้ชิงซีกับมู่เหยาเห็นย่าชิง อวิ๋นน่า และเหยียนเยียน บรรยากาศก็แปลกไปในทันที

ผู้หญิงทั้งห้าคนนี้มีความผูกพันกับเขาไม่มากก็น้อย ในตอนนี้เมื่อพวกเขามารวมตัวกัน แม้ว่าพวกเขาจะพูดคุยกันอย่างอบอุ่น แต่สถานการณ์ก็ชวนให้รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลแปลก ๆ อยู่เสมอ

แน่นอนว่าทั้งห้าสาวไม่ได้ทะเลาะกันเพราะเหตุนี้ การสนทนาระหว่างพวกนางส่วนใหญ่อยู่ในรูปของการสอบสวน และไม่ได้มีการตบตีแย่งชิงกันเกิดขึ้นแต่อย่างใด

ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการยืนยันความสัมพันธ์ของเฉินซีกับผู้หญิงคนอื่น และความรู้สึกของเฉินซีกับผู้หญิงคนอื่น ๆ ผ่านการซักถาม

ส่วนสิ่งที่พวกนางจะทำหลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้ว นั่นเป็นสิ่งที่พวกนางเท่านั้นที่รู้ เพราะหัวใจของผู้หญิงเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้

แม้แต่เหวินเสวี่ยนกับเฟยเหลิ่งชุ่ยก็ยังรับรู้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างไปได้เป็นอย่างดี ซึ่งทำให้ทั้งคู่รู้สึกขบขันและประหลาดใจ

เหยียนเยียนนั้นไม่เป็นไร นางไม่สามารถพูดได้ว่าตนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเฉินซีถึงขั้นนั้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ามันเป็นเพียงความสัมพันธ์แบบสหาย แต่เมื่อนางอยู่ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ในสายตาของคนนอกแล้ว มันก็กลายเป็นความสัมพันธ์อีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น

สิ่งนี้ทำให้นางทั้งหงุดหงิดและขบขัน ทว่านางก็ได้แต่กลืนยาขมอย่างเงียบ ๆ เพราะแม้ว่าจะอธิบายไปแล้ว แต่นางก็ยังไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนนัก

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ทางฝั่งหวังเจิ้นเฟิง ซ่งหลิน ต้วนมู่เจ๋อกับมู่เหวินเฟยกลับกลายเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างรวดเร็ว พวกเขาเดินเอาแขนโอบไหล่กันและกันขณะที่คุยโม้อย่างสนุกสนาน มีความสุขราวกับว่าพวกเขารู้จักกันมานาน ไม่เหมือนคนที่เพิ่งพบกันเลยแม้แต่น้อย

นี่เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่ายมาก แม้ว่าหวังเจิ้นเฟิงจะเป็นนายน้อยของจวนจ้าวอัสนี แต่ตอนนี้เขาต้องการที่จะเป็นสหายของเฉินซี ดังนั้นเขาย่อมไม่วางท่าและแสดงความลำบากใจแก่สหายของอีกฝ่ายอยู่แล้ว เขาจึงกลายเป็นหนึ่งเดียวกับคนอื่น ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ

อันที่จริงเฉินซีก็ต้องการที่จะรวมกลุ่มสนทนากับหวังเจิ้นเฟิงและคนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน หรืออย่างน้อยที่สุดก็ได้คุยกับนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนเพราะมันคือการหลบเลี่ยงความสนใจของผู้หญิงเหล่านี้ชั่วคราวที่ดีที่สุด

แต่ไม่ว่าจะเป็นหวังเจิ้นเฟิงหรือนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน พวกเขาต่างก็รับรู้ได้ถึงสถานการณ์นี้ตั้งแต่แรกแล้ว และยังรู้อีกว่าหากพวกตนรับตัวเฉินซีมา นั่นหมายถึงการสร้างปัญหาให้กับตัวเอง ดังนั้นจะมีใครเลือกไม่เมินเขาบ้าง? การที่พวกเขาไม่ยินดีในความโชคร้ายของเฉินซีและเติมเชื้อเพลิงให้กับกองไฟก็นับว่ามีเมตตาเพียงพอแล้ว

เมื่อเห็นเช่นนั้น เฉินซีก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันไปหาเฉินอวี่น้อย แต่ในตอนนี้เด็กน้อยกำลังเล่นอยู่กับขนปุกปุยของไป๋คุยอย่างสนุกสนาน ดังนั้นเจ้าตัวน้อยจึงไม่สนใจลุงของเขาเช่นกัน ทำให้เฉินซีหมดหนทางและทำอะไรไม่ถูกอย่างมาก

ความยุ่งเหยิงนี้ดำเนินไปจนกระทั่งเขากลับมาถึงที่พัก และรีบย่องเข้าไปในครัวด้วยข้ออ้างในการจัดงานเลี้ยงต้อนรับการมาถึงของทุกคน

อ้อ แล้วก็เขาลงกลอนประตูตามหลังเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย

แน่นอนว่าสิ่งกีดขวางเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ไม่ได้สร้างความยากลำบากให้กับหญิงสาวทั้งห้าคนเลยแม้แต่น้อย การจะบุกเข้าไปนั้นทำได้ง่ายมาก แต่เนื่องจากสถานะและความในใจที่เก็บไว้ พวกนางจึงทำได้เพียงปล่อยเฉินซีไปก่อนในตอนนี้

สิ่งที่ทำให้เฉินซีปวดหัวมากยิ่งขึ้นคือเมื่อเขาเตรียมงานเลี้ยงเสร็จ และทุกคนกำลังเตรียมอาหารอยู่นั้น เจิ้นหลิวชิงก็มาหาเขาจริง ๆ!

เมื่อเห็นหญิงสาวจากหอวารีหมอกผู้ได้รับการยกย่องจากจักรพรรดิฉู่องค์ปัจจุบันนางนี้แล้ว หวังเจิ้นเฟิงและคนอื่น ๆ ก็เต็มไปด้วยความชื่นชมและความอิจฉา

ทว่าจิตใจของผู้หญิงเหล่านั้นกลับรู้สึกสับสนขึ้นมา จู่ ๆ พวกนางก็มี… คู่แข่งเพิ่มขึ้นมาอีกคนได้อย่างไรกัน?

มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่ถอนหายใจยาว เขารู้สึกว่าในยามนี้ จิตใจและร่างกายของเขารู้สึกอ่อนล้ายิ่งกว่าตอนที่ฆ่าสัตว์อสูรที่ทรงพลังยิ่งเสียอีก

เจิ้นหลิวชิงเป็นคนฉลาดมาก ดวงตาอันกระจ่างใสของนางกวาดไปทั่วฝูงชน ก่อนที่จะจับความรู้สึกแปลก ๆ ในบรรยากาศได้ นางไม่ได้พูดอะไรมาก นอกจากสะบัดกระโปรงของตนและนั่งลงข้าง ๆ เฉินซีพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็อุทานด้วยความชื่นชมขณะที่มองไปยังอาหารอันโอชะซึ่งวางอยู่เต็มโต๊ะ “ช่างเป็นมื้อค่ำที่หรูหรานัก ข้ายังไม่ได้ทานอะไรมาเลย ช่วยเตรียมชุดชามกับตะเกียบให้ข้าสักคู่ได้หรือไม่?”

นั่งลงแล้วยังต้องถามอีกหรือ?

เฉินซีถอนหายใจอีกครั้ง ผู้หญิงเหล่านี้ต่างก็ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา และแต่ละคนล้วนฉลาดเฉลียวมากกว่าคนอื่น ๆ นัก หากเขาต้องการที่จะกำจัดพวกนาง มันก็ถือเป็นงานใหญ่ที่ซับซ้อนมากจนถึงจุดที่มันทำให้คนคนหนึ่งปวดหัวและหวาดกลัวเพียงแค่ได้เห็นมัน

“ท่านป้า นี่ชามกับตะเกียบของท่านขอรับ”

เฉินอวี่ตัวน้อยเดินไปที่ด้านข้างของเจิ้นหลิวชิงและยื่นชามกับตะเกียบให้อย่างอ่อนน้อมและเชื่อฟังยิ่ง ทว่าประโยคต่อมาทำให้เฉินซีอยากจะตีก้นเจ้าตัวเล็กยิ่งนัก เจ้าตัวเล็กกะพริบตาสีดำสนิทอย่างไร้เดียงสาขณะที่เขาพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ท่านป้า ท่านเป็นคนรู้ใจของท่านลุงข้าหรือขอรับ?”

พรูด!

หวังเจิ้นเฟิงพ่นเหล้าเต็มปากออกมา ก่อนจะไอไม่หยุด

การแสดงออกของเหวินเสวี่ยนกับเฟยเหลิ่งชุ่ยและคนอื่น ๆ ก็แปลกประหลาดมากเช่นกัน พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเพื่อนตัวน้อยคนนี้จะเปิดเผยความลับนี้ออกมาโต้ง ๆ เช่นนั้น แล้วเฉินซีจะปกปิดมันต่อไปได้อย่างไร?

เจิ้นหลิวชิงก็ชะงักไปเช่นกัน จากนั้นสายตาของนางก็เหลือบไปมองที่เฉินซี ก่อนจะยิ้มให้กับเฉินอวี่ตัวน้อย “เหตุใดเจ้าไม่ลองถามท่านลุงของเจ้าดูเล่า?”

แล้วเฉินซีจะนั่งเฉย ๆ รอให้หายนะมาเยือนได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงรีบหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วกล่าวตัดบท “ทุกคนเดินทางมาทั้งวันและคงเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว รีบทานข้าวแล้วแยกย้ายไปพักผ่อนกันเถิด”

ขณะที่พูด เขาก็เหลือบมองนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน

นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนไอแห้ง ๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส “เอาล่ะ กินข้าวกันก่อนเถิด โต๊ะนี้เต็มไปด้วยอาหารอันโอชะที่เฉินซีปรุงเองทั้งหมด คงไม่ดีนักที่จะลิ้มรสหลังจากปล่อยให้มันเย็นแล้ว”

ในบรรดาผู้คนที่อยู่ ณ ที่นี้ เขาเป็นผู้ที่อาวุโสที่สุด ดังนั้นการที่เขาออกมาช่วยเฉินซีพูดในเวลานี้ จึงไม่ได้ไปกระตุ้นความไม่พอใจของใคร

“ข้าไม่รู้มาก่อนว่าเจ้ามีทักษะการทำอาหารที่ดีขนาดนี้ด้วย ในเมื่อเจ้าเป็นคนปรุงมันเอง งั้นข้าก็จะลองชิมดู” เจิ้นหลิวชิงยิ้มและชำเลืองมองเฉินซีอย่างลึกซึ้ง และหลังจากพูดจบนางก็หยิบตะเกียบขึ้นมาพร้อมเริ่มรับประทานอาหาร

เมื่อคนอื่น ๆ เห็นเช่นนั้น พวกเขาก็ขยับตะเกียบของพวกเขาเพื่อกินและดื่มตามมาทีละคน ไม่นานบรรยากาศก็มีชีวิตชีวาขึ้นอย่างรวดเร็ว

เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกในทันที เขารีบทานอาหารให้เสร็จ จากนั้นลุกขึ้นยืนและพูดว่า “การชุมนุมดาวรุ่งกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ข้าต้องการใช้ช่วงเวลานี้เพื่อฝึกฝนอย่างหนักสักระยะหนึ่ง…”

“ได้ ข้าคุ้นเคยกับนครหลวงธารสายไหมมากที่สุด ดังนั้นข้าจะช่วยเจ้าสร้างความบันเทิงให้กับทุกคนเอง เจ้าไปฝึกฝนอย่างสบายใจและปล่อยให้ที่เหลือเป็นหน้าที่ของข้าเถอะ” ก่อนที่เฉินซีจะพูดจบ ย่าชิงก็พูดขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้ม

“ใช่แล้ว การชุมนุมดาวรุ่งกำลังจะเริ่มขึ้น ผู้บ่มเพาะที่เข้าร่วมก็มีมากมายราวกับก้อนเมฆ การใช้ประโยชน์จากเวลานี้เพื่อเตรียมความพร้อมให้มากขึ้นย่อมเป็นผลดีต่อการเข้าร่วมชุมนุมอย่างมาก” เหวินเสวี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ด้วยการสนับสนุนของทั้งสองคน คนอื่น ๆ ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร การชุมนุมดาวรุ่งไม่ใช่เกมเด็กเล่น มันเป็นการรวมตัวของเหล่าผู้มีพรสวรรค์จำนวนมากจากทั่วแผ่นดินซ่ง ดังนั้นยิ่งเฉินซีเตรียมพร้อมมากเท่าไร โอกาสที่เขาจะเข้ารอบหลัง ๆ ก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น

ในบรรดาผู้คนที่อยู่ที่นี่ คนที่จะเข้าร่วมการชุมนุมนั้นมีเพียง เฉินซี หวังเจิ้นเฟิง และเจิ้นหลิวชิงเท่านั้น ขณะที่คนอื่น ๆ มาเพื่อชมการแข่งขัน ดังนั้นในเวลาเช่นนี้พวกเขาจึงไม่กล้ารบกวนทั้งสามคน เพื่อไม่ให้กระทบต่อการแสดงความแข็งแกร่งของพวกเขาในการชุมนุมดาวรุ่ง

“โชคดีนะท่านลุง! ท่านต้องคว้าที่หนึ่งมาให้ได้นะขอรับ!” เฉินอวี่น้อยพูดอย่างกระฉับกระเฉง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]