บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 41

บทที่ 41 เมืองอาบโลหิต
บทที่ 41 เมืองอาบโลหิต

ณ หุบเขาอาบโลหิต ก่อนที่จะถึงหุบเขา

ผู้บ่มเพาะนับสิบคนต่างรุมล้อมพวกเขา ชายวัยกลางคนตัวผอมสูงที่เป็นผู้นำได้กล่าวเตือนว่า “สหายเต๋า โปรดรอก่อน มีอสูรปีศาจกว่าหนึ่งร้อยตัวซ่อนเร้นอยู่ภายในหุบเขาอาบโลหิต เรามาร่วมมือล่าพวกมันและแบ่งปันไข่มุกปีศาจกันดีหรือไม่”

ตู้ชิงซีไม่ได้คิดเช่นนั้นด้วย นางจึงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ขออภัยด้วย เรายังมีเรื่องอื่นต้องไปจัดการ”

“ฮ่า ๆ คุณหนูอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธสิ สิ่งใดจะสำคัญเท่าการหาเงินเล่า? ท้ายที่สุด ด้วยความแข็งแกร่งของพวกข้า การล่าอสูรปีศาจนั้นหาใช่เรื่องยาก สหายเต๋าเอ๋ย พวกเจ้าทุกคนดูกล้าหาญและไม่ธรรมดาอยู่แล้ว หากเข้าร่วมกับเรา เจ้าจะได้รับผลตอบแทนอย่างมหาศาลแน่นอน” ชายวัยกลางคนผู้นั้นยังคงกล่าวเตือนพวกเขาด้วยความอดทน

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะสงสารอีกฝ่าย ขณะจ้องมองไปยังผู้บ่มเพาะที่ยืนล้อมพวกเขาอยู่

ตู้ชิงซีไม่ได้กล่าวอันใดอีกต่อไป ส่วนต้วนมู่เจ๋อผู้สวมอาภรณ์สีขาวและมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า พลันก้าวเท้าออกไปและกล่าวว่า “พวกเจ้าช่างโชคร้ายเสียจริง ข้าอยากบอกพวกเจ้าว่า เจ้าเลือกเหยื่อผิดเสียแล้ว”

“เหอะ! กล่าววาจาไร้สาระอันใด? จะยอมทำตามหรือหาที่ตาย!” ใบหน้าของชายวัยกลางคนดูเคร่งขรึมในบัดดล จากนั้นเขาก็ยิ้มเยาะพลางดีดนิ้ว ท่าทีของผู้บ่มเพาะที่รุมล้อมอยู่พลันเปลี่ยนเป็นดุร้ายทันที และดวงตาของพวกเขาก็ฉายชัดถึงความอันตรายออกมา

“ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย มอบไข่มุกปีศาจทั้งหมดมาแล้วไสหัวไปซะ! อ้อ จงทิ้งหญิงสาวนางนั้นไว้ด้วย นางน่าจะเหมาะกับการเป็นที่ระบายอารมณ์ของพวกข้า” ชายวัยกลางคนหัวเราะอย่างพิลึกพิลั่นในขณะที่เขายื่นคำขาดเป็นครั้งสุดท้าย

“เจ้ากล้าหยามเกียรติชิงซีหรือ? รนหาที่ตายโดยแท้!” ใบหน้าของต้วนมู่เจ๋อเย็นชาลง เมื่อเขาเห็นชายวัยกลางคนผู้นั้นเผยท่าทีใคร่กระหายในตัวตู้ชิงซี กระบี่สายรุ้งเจ็ดดาราก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา

โอม!

กระบี่สายรุ้งเจ็ดดาราที่บรรจุพลังจิตวิญญาณอันน่าสะพรึงกลัวได้ปลดปล่อยแรงกดดันอันมิอาจหาผู้ใดเทียบได้ คมศัสตราสั่นสะท้านอยู่ในมือของต้วนมู่เจ๋อ ราวกับว่าตัวมันอยากจะบินออกไปดื่มโลหิตของศัตรูเต็มทีแล้ว

เพียงชั่วพริบตา ตำแหน่งของต้วนมู่เจ๋อที่ถือกระบี่ก็เปลี่ยนไป รอยยิ้มมุมปากแปรเปลี่ยนเป็นเหยียดหยามและเย็นชา ราวกับว่าตัวเขาได้กลายเป็นกระบี่อันแหลมคมที่ไร้ฝัก และพร้อมที่จะพุ่งกระโจนไปเบื้องหน้า!

“ไป! ฆ่าไอ้เด็กคนนี้ก่อน!” รูม่านตาของชายวัยกลางคนร่างผอมหดตัวลง ยามสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของต้วนมู่เจ๋อ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่า ตนได้เผชิญกับศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวเข้าแล้ว นี่ทำให้เขาไม่อาจลังเลและต้องรีบตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง จากนั้นมือที่ถือกระบี่คู่อยู่ก็ตวัดไปยังศีรษะของชายหนุ่มในทันที

“ฆ่า!” ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ กวัดแกว่งอาวุธของพวกเขาเช่นกัน ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ต้วนมู่เจ๋อ

เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ท่าทางของตู้ชิงซียังคงสงบนิ่งดังเดิม อีกทั้งซ่งหลินเองก็ยังคงดูมึนงงและเซื่องซึม ส่วนเฉินซีนั้นจ้องมองผู้บ่มเพาะพวกนั้นด้วยความสังเวชใจ

‘พวกเจ้ามิใช่สหายของเจ้าเด็กหรอกหรือ ไยถึงให้เขาเสี่ยงชีวิตแต่เพียงลำพัง?’ ชายวัยกลางคนเหลือบมองมาที่พวกเขา ก่อนจะครุ่นคิดในมุมของตนเอง เมื่อเขาเห็นตู้ชิงซีและคนอื่น ๆ มองดูอย่างไร้ความกังวล เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ

“ท่านหัวหน้า!” ช่วงเวลาที่ชายวัยกลางคนผู้นั้นมึนงงไปชั่วครู่ เสียงร้องเรียกอย่างตื่นตระหนกพลันดังขึ้นในหูของเขา และเมื่อเขาฟื้นคืนสติ ก็เห็นเพียงประกายแสงจากคมกระบี่อันดุดันพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของคนคนนั้นแล้ว

เคร้ง! กึก! แกร็ก!

เสียงโลหะแตกละเอียดราวกับข้าวโพดคั่วดังขึ้นในบัดดล และอาวุธทั้งหมดที่อยู่ในมือของผู้บ่มเพาะซึ่งรุมล้อมรอบตัวต้วนมู่เจ๋อก็แตกหักเหลือเพียงแต่ด้าม

เป็นไปได้ไหมที่กระบี่ในมือของคนผู้นี้เป็นสมบัติวิเศษ

ผู้บ่มเพาะทุกคนที่รายล้อมเขา รวมทั้งชายวัยกลางคนร่างผอมต่างแสดงความประหลาดใจออกมา จากนั้นร่างกายคนทั้งหมดก็เต็มไปด้วยความเย็นเยียบ บังเกิดความหวาดกลัวอันไร้ขอบเขตขึ้นมา คนผู้นี้ยังเยาว์วัยนัก อีกทั้งยังมีสมบัติวิเศษติดตัว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะเป็นศิษย์เอกจากนิกายหรือตระกูลที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้น?

“ตายซะ!” ต้วนมู่เจ๋อเงื้อกระบี่เข้าใส่กลุ่มผู้บ่มเพาะที่กำลังตกตะลึงด้วยความดูแคลน จากนั้นข้อมือของเขาก็สั่นเบา ๆ ประกายแสงนับสิบจากคมกระบี่ก็ไหลออกมาดุจสายวารี และพุ่งทะลุทะลวงออกไปยังคนพวกนั้น

ฟู่! ฟู่! ฟู่! ฟู่!

โลหิตพุ่งกระจายออกมาท่ามกลางอากาศ ชายวัยกลางคนและลูกน้องของเขายังไม่ทันจะได้แตะต้องตัวของต้วนมู่เจ๋อ ทันใดนั้นพวกเขาพลันรู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอก ก่อนที่บนตัวจะปรากฏรูและโลหิตไหลออกมาจากตำแหน่งหัวใจ เมื่อเห็นดังนั้นรูม่านตาพลันขยายออกก่อนที่จะล้มลงกับพื้นดิน

“คิดปล้นชิงผู้อื่นด้วยระดับบ่มเพาะเพียงน้อยนิดเช่นนี้ ช่างน่าขบขันเสียจริง!” ต้วนมู่เจ๋อส่ายศีรษะอย่างดูแคลน จากนั้นเขาก็หันกลับมาอย่างสง่างาม ไม่คิดเหลือบมองซากศพบนพื้นอีกต่อไป สุ้มเสียงสั่งเฉินซีว่า “เจ้าจงเก็บกวาดบริเวณโดยรอบเสีย”

เฉินซีก้าวเดินไปอย่างรวดเร็วและเริ่มรวบรวมไข่มุกปีศาจที่ผู้บ่มเพาะเหล่านี้ครอบครองอยู่อย่างคล่องแคล่ว

ยามที่พวกเขาก้าวเข้าสู่หุบเขาอาบโลหิต คนทั้งสี่ก็มักจะเผชิญกับการจู่โจมจากกลุ่มผู้บ่มเพาะที่มีตาหามีแววไม่ และผู้บ่มเพาะเหล่านั้นก็มักอ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา โดยมีจุดประสงค์เพียงเพื่อแค่ต้องการแย่งชิงไข่มุกปีศาจที่ผู้อื่นครอบครองเท่านั้น

และเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ต้วนมู่เจ๋อย่อมไม่อาจยืนดูอย่างเฉยเมยได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]