เมืองอาบโลหิตครอบครองพื้นที่กว่าหมื่นลี้ แนวแถวของบ้านเรือนซึ่งทำจากหินสามารถพบได้ทั่วเมือง
…แน่ชัดแล้วว่าที่นี่สามารถรองรับผู้คนได้หลายหมื่นคน
ปัจจุบันมีผู้บ่มเพาะไม่เกินหมื่นคนอยู่ในเมืองแห่งนี้ ประกอบกับบ้านเรือนเหล่านั้นที่ไร้เจ้าของ พวกเขาจึงสามารถจับจองเลือกบ้านที่จะอยู่ได้
อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงกลับไม่ง่ายนัก แม้ว่าพวกเขาจะสามารถหลีกเลี่ยงฝูงสัตว์ร้ายที่อยู่นอกเมืองได้โดยซ่อนตัวอยู่ในเมือง ทว่าการต่อสู้ระหว่างผู้บ่มเพาะกันเองกลับหลีกเลี่ยงไม่ได้!
ปัญหานี้แก้ไขได้ยากยิ่ง เนื่องจากไข่มุกปีศาจมีราคาสูงเกินไป และความมั่งคั่งของผู้คนก็ได้กลายเป็นหายนะมาสู่พวกเขาเอง! ภายในหุบเขาอาบโลหิตที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกนี้ …อะไรก็เกิดขึ้นได้!
ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของตนเอง คนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะรวมตัวกันใกล้กับบ้านเรือนของปรมาจารย์ยอดฝีมือ ในอีกแง่หนึ่งแล้ว การรวมตัวเช่นนี้ทำให้พวกเขาช่วยเหลือกันได้ง่าย ยามที่คนใดคนหนึ่งเกิดปัญหา ทว่าเมื่อมองในแง่ลบแล้ว สิ่งนี้เองก็อันตรายเช่นกัน เพราะไม่อาจแน่ใจได้เลย ว่าจะไม่มีใครฉวยโอกาสนี้ชุบมือเปิบเป็นคนสุดท้าย!
ตลอดทางหลังจากเข้าสู่เมืองอาบโลหิต กลุ่มของเฉินซีได้เห็นฉากดังกล่าวมาไม่มากก็น้อย และพวกเขาก็คุ้นเคยกับมันดี
การทดสอบของดินแดนรกร้างใต้พิภพครั้งนี้แตกต่างออกไป และผู้บ่มเพาะที่ได้รับการยอมรับจากสาธารณชนว่าเป็นปรมาจารย์ก็คือผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลอย่างไม่ต้องสงสัย!
ทว่าแม้ขอบเขตการบ่มเพาะของพวกเขาจะอยู่เพียงขอบเขตก่อกำเนิด ทว่าด้วยฝีมือและฝีปากของพวกเขาแล้ว ก็นับว่าได้อยู่ในอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว!
ขณะที่พวกเขาเดินผ่านบ้านเรือนที่มีผู้บ่มเพาะกว่าร้อยคนรวมตัวกันอยู่รอบ ๆ ตู้ชิงซีก็อธิบายกับเฉินซีด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “ดูสิ มีผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลสี่คนอยู่ที่นี่ และพวกเขาน่าจะมาจากนิกายหงสาเมฆาชาดทางตอนใต้ โดยสังเกตได้จากรัศมีพลังที่น่าเกรงขามนั่น อาจจะแข็งแกร่งกว่าหลี่ไฮว่ด้วยซ้ำ”
เฉินซีเหลือบไปมอง เขาเห็นว่าในบ้านหินหลังนั้น มีผู้บ่มเพาะสี่คนที่อยู่ในชุดหรูหรากำลังพูดคุยกันอยู่ เป็นชายวัยกลางคนท่าทางแข็งแรง ชายชราร่างผอมแห้ง ชายหนุ่ม และหญิงสาว พวกเขาล้วนสวมเสื้อคลุมสีม่วงแดงที่มีลวดลายวิจิตรงดงามของนกเพลิงที่ร่ายรำอยู่บนนภาและรายล้อมด้วยหมู่เมฆ
“พวกเขาก็หมายตาหอเซียนกระบี่ด้วยหรือ?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
ในช่วงเวลานี้เอง ที่เขาเข้าใจในพลัน ว่านอกเหนือจากกลุ่มของหลี่ไฮว่และซูเจียวแล้ว ยังมีผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลจำนวนมากที่มาที่นี่ จนสามารถบอกได้เลยว่าหอเซียนกระบี่นี้น่าดึงดูดเพียงใด
“แน่นอน ทว่าสำนักหงสาเมฆาชาดไม่มีอะไรน่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย เพราะเมื่อเทียบกับแปดนิกายที่ยิ่งใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกร สำนักทั้งสาม และหกตระกูลใหญ่ของเรา นิกายหงสาเมฆาชาดก็เป็นเพียงกลุ่มเล็กกระจ้อยร่อยเท่านั้น”
ต้วนมู่เจ๋อพูดอย่างมั่นใจยิ่ง …ลักษณะที่เย่อหยิ่งของนายน้อยผู้นี้ได้รับการหล่อหลอมมาตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นจึงยากยิ่งนักที่จะเปลี่ยนแปลง
กลุ่มผู้บ่มเพาะของนิกายหงสาเมฆาชาดที่อยู่ห่างออกไปหยุดการสนทนาทันที ก่อนจะหันมาจ้องกลุ่มของเฉินซีอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนพวกเขาจะจำตัวตนของต้วนมู่เจ๋อและคนอื่น ๆ ได้ ดังนั้นแม้จะโมโหโกรธา แต่พวกเขาก็ไม่มีเจตนาที่จะต่อสู้
“เรารีบไปกันเถอะ” ตู้ชิงซีจ้องมองไปยังต้วนมู่เจ๋อ จากนั้นหันหลังกลับเพื่อเดินไปที่ใจกลางเมือง
ที่ใจกลางเมืองอาบโลหิตมีหอคอยหินห้าแห่งที่ตั้งตรงชี้ขึ้นฟ้า เมื่อเทียบกับบ้านเรือนที่อยู่รายรอบแล้ว พวกมันเปรียบเสมือนยักษ์ใหญ่ท่ามกลางคนแคระ ซึ่งดูโดดเด่นเป็นพิเศษ!
สิ่งที่ทำให้เฉินซีประหลาดใจก็คือหอคอยทั้งห้าแห่งกำลังเปล่งรัศมีมากมายออกมาจากภายใน รัศมีเหล่านี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อ และซ่งหลินเลย บางสายยังดูเหนือกว่าของพวกเขาเสียอีก!
ในขณะนี้ มีผู้บ่มเพาะกว่าสามพันคนรวมกันอยู่ใกล้หอคอยหิน ภาพที่เห็นเบื้องหน้าจึงราวกับทะเลมนุษย์อันวุ่นวาย!
กลุ่มของเฉินซีเดินไปรอบ ๆ เมือง ก่อนที่จะพบบ้านหินขนาดมหึมาซึ่งอยู่ใกล้ใจกลางเมือง และแม้ว่าสภาพของมันจะเก่าโทรม หากแต่มันก็มีพื้นที่ขนาดใหญ่มาก จึงเพียงพอที่จะรองรับพวกเขาทั้งสี่ได้
หลังจากที่พวกเขานั่งอยู่ในบ้านหลังนั้นและพักผ่อนได้ชั่วครู่ ตู้ชิงซีก็พลันสั่ง “ทุกคน แม้ว่าเราจะไม่ต้องกังวลว่าจะถูกฝูงสัตว์ร้ายคุกคามในคืนนี้ แต่เราก็ยังต้องระวังเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉินซี วันนี้เจ้าทำให้ซูเจียวขุ่นเคืองยิ่ง ดังนั้นมันคงเป็นการดีที่สุดถ้าเจ้าจะไม่ปลีกตัวไกลจากพวกเรามากเกินไป”
เฉินซีขณะนั้นกำลังอยู่ในระหว่างการทำอาหาร และเขาก็พยักหน้าเมื่อได้ยินเรื่องนี้
แม้ว่าเขาจะเอาชนะหลี่ไฮว่ในการต่อสู้ในวันนี้ได้ แต่พลังกายและปราณแท้ก็ลดลงอย่างมากเช่นกัน หากยังไม่ฟื้นคืน ชายหนุ่มย่อมไม่กล้าเคลื่อนไหวตามอำเภอใจ และด้วยกลุ่มสามคนของตู้ชิงซีที่อยู่ที่นี่ อย่างน้อยเขาก็จะปลอดภัยอยู่บ้าง!
ต้วนมู่เจ๋อนั่งลงและมองไปที่เฉินซีขณะที่ถามว่า “ถูกต้องแล้ว ทว่าข้ามีคำถาม… เจ้าครอบครองตราคำสั่งใต้พิภพได้อย่างไร”
“ข้าได้มันมาจากอสูรแรดอินทนิลสองหัว…” เฉินซีอธิบายอย่างละเอียดว่าเขาได้พบกับผู้ดูแลอู๋อย่างไร ตนเองได้ช่วยชีวิตผู้คนที่ถูกมองว่าเป็น ‘บรรณาการ’ ได้อย่างไร จนถึงจุดที่เขาฆ่าอสูรแรดอินทนิลสองหัวในที่สุด
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เฉินซีจะไม่พูดมากความกับต้วนมู่เจ๋อ แต่ตลอดทางต้วนมู่เจ๋อได้แสดงความปรารถนาดีต่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และวิธีที่ต้วนมู่เจ๋อพูดในตอนนี้ก็ไม่ได้แสดงถึงความเหยียดหยามหรือการดูหมิ่นอย่างที่ผู้มีตำแหน่งสูงกว่ามักทำ
ซึ่งนอกจากความรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งนี้แล้ว…
เขายังรู้สึกภูมิใจอย่างช่วยไม่ได้ การที่เขาสามารถเปลี่ยนแปลงนายน้อยที่เย่อหยิ่ง ผู้ถือกำเนิดจากชนชั้นสูงเช่นต้วนมู่เจ๋อ จนสามารถทำให้อีกฝ่ายก้มศีรษะและแสดงความปรารถนาดีออกมาได้ ทำให้เฉินซีรู้สึกมีความสุขเหลือเกิน!
แท้ที่จริง ตัวเฉินซีเองก็เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นอย่างดี ว่ามันน่าจะมาจากการที่เขาเอาชนะหลี่ไฮว่ก่อนหน้านี้ และพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเองออกมา!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...
ลงวันละหลายตอนใต้ใหม่ครับ...
ไม่ลงต่อแล้วหรือครับ ผมยังรออยู่นะครับ...