บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 49

บทที่ 49 ถ้ำ
บทที่ 49 ถ้ำ

ตู้ม!!

เงาร่างสีดำราวกับอุกกาบาตขนาดมหึมาตกลงมา เมื่อมันกระแทกเข้ากับหินสีดำสนิทที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงก็ทำให้เกิดเสียงดังสนั่น

ไม่อาจทราบว่าผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด ทันทีเฉินซีฟื้นขึ้นมาก็ประสบกับความเจ็บปวดอย่างสาหัส ความเจ็บปวดอันหาที่เปรียบมิได้ราวกับหัวใจของเขาถูกเสียดแทงด้วยกระบี่นับหมื่นเล่มและถูกฝูงมดกัดไปทั้งร่างกาย เขาค่อย ๆ ฟื้นคืนสติและลืมตาขึ้น สิ่งที่ลอดผ่านดวงตาของเขามีเพียงหมอกหนาทึบ ที่ไม่มีวี่แววว่าสลายไป ทำให้เขาไม่อาจมองเห็นบริเวณโดยรอบได้อย่างชัดเจน

สิ่งเดียวที่เฉินซีสามารถยืนยันได้ก็คือตัวเขายังไม่ตาย และเห็นได้ชัดว่าที่นี่เป็นก้นเหวของแนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาด

“ฟื้นแล้วหรือ” พร้อมกับเสียงนี้ หมอกสีแดงเลือดที่ชวนลุ่มหลงโดยรอบ ก็สลายออกไปเผยให้เห็นใบหน้าซูบตอบของจี้อวี๋

เฉินซียืดร่างกายของเขาอยู่ครู่หนึ่ง นอกจากความเจ็บแสบร้อนทั่วร่างกายแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติใด เมื่อเขาลุกขึ้นยืนสำเร็จก็ต้องหลั่งเหงื่อออกมาเนื่องจากความเจ็บปวดที่ได้รับ

“การประสบเหตุการณ์เยี่ยงนี้เป็นสิ่งที่ดีสำหรับเจ้า” ท่าทีของจี้อวี๋ดูเคร่งขรึมอย่างยิ่ง จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้าต้องจำไว้เสมอว่า เว้นแต่จะเป็นกระบี่ของมิตรสหายที่เคยร่วมเป็นตายมานับพันครั้ง การปล่อยให้ผู้อื่นระวังหลังให้เจ้าย่อมคือการไม่รักชีวิตตัวเอง!”

เฉินซีพยักหน้ารับเงียบ ๆ หากเขาระมัดระวังตัวมากกว่านี้ คงไม่มีทางที่ไฉ่เล่อเทียนจะลอบทำร้ายเขาสำเร็จแน่

“ไปกันเถอะ” จี้อวี๋เข้าใจดีว่าเหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อชายหนุ่มอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นเมื่อเห็นเฉินซียอมรับฟังความเห็นของเขา ชายชราจึงไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติมอีก ร่างของเขาลอยไปยังส่วนลึกของหมอกดั่งเรือลำน้อย

เฉินซีเหลือบมองบริเวณโดยรอบแล้วถามด้วยความสงสัย “จะไปที่แห่งใด?”

“ห่างออกไปยี่สิบห้าลี้ จากที่นี่เป็นที่ตั้งของฐานรากของค่ายกลนี้ หากเจ้าต้องการจะออกจากที่แห่งนี้ ก็จงทำลายรากฐานของมันเสีย” เสียงของจี้อวี๋ลอยออกมาจากภายในหมอก

มีปราณปีศาจและหมอกลอยอยู่ในอากาศ อีกทั้งเสียงเห่าหอนของอสูรปีศาจก็ดังกึกก้อง

เฉินซีเดินตามหลังจี้อวี๋ ขณะที่เขาจ้องมองไปยังหมอกสีแดงเข้มที่หนาแน่นราวกับหินหลอมเหลวและฝูงอสูรปีศาจที่อาละวาดอยู่ภายในหมอก ประสาทของเขาก็ตึงเครียดจนถึงขีดสุด

เขาเคยเห็นอสูรปีศาจขนาดเท่าเนินเขาทั้งลูกที่ค่อย ๆ คืบคลานออกมาจากหมอก และแรงกดดันที่ปล่อยออกมาก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก

อย่างไรก็ตาม ครานี้กลับแตกต่างออกไป เมื่อเขาเดินตามจี้อวี๋ไป หมอกหนาทึบไม่เพียงกระจายออกไปเองเท่านั้น แม้แต่อสูรปีศาจเหล่านั้นก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าใกล้ ตลอดทางพวกเขาไม่เคยพบกับการจู่โจมเลยแม้แต่ครั้งเดียว!

ผ่านไปเพียงชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป

ชายชราหยุดยืนที่เบื้องหน้ากำแพงหินสีดำสนิทภายในหุบเหว

เฉินซีแหงนหน้าขึ้นมอง และเขาก็เห็นว่าลวดลายหนาแน่นต่าง ๆ ถูกจารึกไว้บนผนังหินสีดำสนิท ลวดลายนั้นหยาบแข็งราวกับเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ บางตำแหน่งก็พร่ามัวและไม่ชัดเจน แต่พวกมันกลับมีกลิ่นอายโบราณและรกร้าง

“ดูเหมือนว่าการคาดการณ์ของข้าจะถูกต้อง หุบเขาแห่งนี้คือค่ายกลสำหรับควบแน่นปราณปีศาจ”

จี้อวี๋เพ่งพินิจลวดลายบนกำแพงหินครู่หนึ่งก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้า จากนั้นชายชราโบกแขนเสื้อปลดปล่อยหมอกสีฟ้าหนาทึบกวาดออกไปเข้าใส่กำแพงหิน

ตูม!! ตูม!! ตูม!!!

กำแพงหินสีดำสนิทที่จารึกลวดลายนับไม่ถ้วนพลันเปิดออก ตรงกลางเผยให้เห็นถ้ำที่ดำมืด ในขณะเดียวกัน กลิ่นอายอันเย็นยะเยือกก็แผ่ออกมาทุกที่เมื่อมันพัดผ่านไป ชั้นน้ำแข็งสีดำหนาทึบเกาะตัวบนพื้นผิวในทันที!

ช่างหนาวเย็นยิ่งนัก!

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน เมื่อกลิ่นอายเย็นยะเยือกนี้พัดมาที่เขา ฟันของเขาก็สั่นสะท้านทันใด ชายหนุ่มต้องรีบโคจรปราณแท้ในร่างจึงจะสามารถละลายไอเย็นยะเยือกที่รุกล้ำเข้าสู่ร่างกายของเขาได้

หลังจากเดินตามจี้อวี๋เข้าไปภายในถ้ำ เฉินซีก็มองเห็นสภาพแวดล้อมภายในอย่างชัดเจน

สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นถ้ำโบราณ ซึ่งมีกำแพงหินสีน้ำเงินเข้มผิวขรุขระและรอยกระดำกระด่างอยู่รอบ ๆ ตัวถ้ำ หินอ่อนธรรมชาติดูหยาบและหมองคล้ำเนื่องจากปราศจากการขัดเงา

นอกจากนี้ ที่ใจกลางถ้ำยังมีสระน้ำรูปทรงแปดเหลี่ยม ซึ่งมีกระบี่แปดเล่มที่เปล่งแสงออกมาถูกเสียบอยู่บนมุมทั้งแปดของสระน้ำ ระลอกคลื่นปรากฏขึ้นบนของเหลวข้นราวกับน้ำนมสีดำบริสุทธิ์ที่ไหลช้า ๆ ภายในสระน้ำ อีกทั้งความหนาวเย็นที่เสียดกระดูกก็แผ่กระจายออกมาจากมัน

สิ่งที่สะดุดตาที่สุด คือดอกบัวบานสีดำอยู่กลางสระน้ำ ดอกบัวนี้มีสามสิบหกกลีบ ซึ่งดูราวกับหยกนิลอันเต็มไปด้วยพลังสงบนิ่ง

จี้อวี๋เดินไปรอบ ๆ สระน้ำ แล้วส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “พวกมันคือกระบี่สะกดปราณปีศาจ ดอกบัวที่ควบแน่นไปด้วยปราณปีศาจ และขวดกักเก็บปราณปีศาจ แม้ว่าผู้จัดเตรียมค่ายกลนี้จะเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ แต่น่าเสียดายที่คุณภาพสิ่งของเหล่านี้ยังไม่ดีนัก ยิ่งไปกว่านั้น มันยังขาดไข่มุกย้ายดวงจิต หากไม่มีใครควบคุมค่ายกลนี้ มันก็เป็นได้เพียงขยะไร้ค่า”

เฉินซีรู้สึกสับสนและครุ่นคิดในใจว่า ‘พวกมันเป็นสมบัติที่เซียนค่ายกลยันต์อักขระใช้ในการจัดตั้งค่ายกล เหตุใดถึงกลายเป็นสมบัติที่ไร้คุณภาพสำหรับผู้อาวุโสจี้อวี๋กัน?’

“ทว่าสิ่งเหล่านี้นับว่าพอใช้ได้สำหรับเจ้า” จี้อวี๋ครุ่นคิดสักครู่แล้วสะบัดแขนเสื้อของเขา กระบี่ทั้งแปดเล่มที่อยู่ข้างสระน้ำส่งเสียงออกมาอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นพวกมันก็ลอยขึ้นจากพื้นและกลายเป็นประกายแสงระยิบระยับแปดดวงขณะที่ตกลงไปบนฝ่ามือของจี้อวี๋

“กระบี่ทั้งแปดเล่มนี้เป็นศัสตราวิเศษระดับสวรรค์ แต่น่าเสียดายที่พวกมันถูกผนึกไว้ที่นี่เนิ่นนานและประสบกับการกัดกร่อนของปราณปีศาจยมโลกมานับไม่ถ้วน ในตอนนี้อำนาจของพวกมันเทียบได้กับศัสตราวิเศษระดับปฐพีขั้นสูงเท่านั้น”

จี้อวี๋ประเมินก่อนที่จะโยนกระบี่ทั้งแปดเล่มให้แก่เฉินซี จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง ดอกบัวสีดำที่อยู่ตรงกลางสระก็ถูกดึงรากออก และค่อย ๆ ลอยลงมาบนฝ่ามือของเขา

“ดอกบัวนี้นับว่าไม่เลวนัก มันคือบงกชจิตเยือกแข็งที่รับพลังมาจากสวรรค์และโลก การวางมันไว้ข้างกายยามที่เจ้าฝึกฝน จะช่วยชำระจิตใจของเจ้าและขจัดจิตปีศาจในใจได้อย่างดีเยี่ยม

ขณะที่กล่าว ชายชราก็ยื่นมือไปลูบดอกบัวสีดำเบา ๆ และเส้นใยของปราณปีศาจก็หลุดออกจากดอกบัว จากนั้นมันก็กลายเป็นดอกบัวสีขาวราวกับหิมะที่เปล่งกลิ่นอายเย็นสบายและสดชื่นในทันที “ข้าได้ช่วยเจ้ากำจัดปราณปีศาจที่อยู่ภายในดอกบัวแล้ว จงรับไปซะ!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]