บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 51

บทที่ 51 กรุสมบัติ
บทที่ 51 กรุสมบัติ

“คนผู้นี้มีนามเต๋าว่า ‘ตงหมิง’ เป็นเซียนกระบี่ที่น่าเกรงขามคนหนึ่ง ด้วยเขาสามารถบรรลุขั้นมหาเต๋าแห่งกระบี่” จี้อวี๋หยิบบันทึกขึ้นมาดูและนิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง จากนั้นจึงส่ายหน้าพร้อมกับเสียงถอนหายใจ “โชคร้ายที่เขาพิชิตทัณฑ์แห่งสวรรค์ได้แค่แปดในเก้าเท่านั้น อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงขอบเขตเซียนสวรรค์แล้ว หรือให้พูดอีกอย่างคือคนผู้นี้เป็นแค่เซียนกระบี่ตกอับที่น่าเกรงขามเท่านั้น”

เซียนตกอับอย่างนั้นหรือ?

เฉินซีตกใจไม่น้อย ขนาดเซียนตกอับยังน่าเกรงขามถึงเพียงนี้ สถานะเช่นเขาคงยากที่จะไปถึงจุดนั้น

ฟุ่บ!

ทันใดนั้น กระดาษสีเหลืองเก่าคร่ำคร่าซึ่งเต็มไปด้วยตัวหนังสือสีชาด จู่ ๆ ก็เกิดเปลวไฟลุกไหม้อยู่บนฝ่ามือของจี้อวี๋ ในไม่ช้าก็กลายเป็นขี้เถ้าปลิวกระจายไปในอากาศ

“เหตุใดท่านจึงทำลายมันเล่าขอรับ?” เฉินซีถามอย่างประหลาดใจทันที ถ้อยคำที่ปรากฏอยู่ในบันทึกเต็มไปด้วยเจตจำนงกระบี่ที่หนาแน่นและทรงพลัง หากสังเกตและทำความเข้าใจให้ดี อาจเป็นประโยชน์กับการฝึกทักษะกระบี่ก็ได้

จี้อวี๋ยืนเอามือไพล่หลัง และหันมาตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “กระบี่เต๋าที่ไม่อาจทานทนต่อทัณฑ์แห่งสวรรค์ ไม่ควรค่าแก่การที่เจ้าจะนำไปฝึกหรอก”

เฉินซีรู้สึกเสียดายนักจึงถามออกไปอย่างงุนงง “แต่สิ่งนั้นอาจช่วยให้ข้าได้เรียนรู้จุดแข็งต้านจุดอ่อนของตัวเองได้นะขอรับ”

“เจ้าต้องจำไว้ให้ดี สิ่งสำคัญที่สุดของการฝึกบ่มเพาะพลังกระบี่คือจิตใจบริสุทธิ์ที่มุ่งตรงไปยังกระบี่อย่างแน่วแน่และมั่นคง เขาทิ้งบันทึกนี้ตอนที่กำลังมุ่งสู่ด้านมืดของตนเอง ทำให้มันมีรังสีเกรี้ยวกราดกระจัดกระจายไปทั่ว กระบี่เต๋าที่ปรากฏในบันทึกก็กระจายไร้แก่นสารอย่างสิ้นเชิง หากเจ้านำไปฝึกปรือ มีแต่จะทำลายเส้นทางกระบี่เต๋าของเจ้าเท่านั้นเอง”

จี้อวี๋หันมากล่าวอย่างใส่อารมณ์ “สักวันหนึ่งถ้าเจ้าสามารถฝึกฝนจนผ่านบททดสอบสวรรค์ถึงขั้นที่สิบสาม และได้เห็นเจตจำนงกระบี่ของเซียนกระบี่ไร้พ่ายผู้ทิ้งชีวิตเอาไว้ที่เคหาของเจ้านายข้า เจ้าจะเข้าใจเองว่าเส้นทางของผู้ฝึกบ่มเพาะกระบี่แท้จริงคืออะไร”

“แม้เซียนกระบี่ไร้พ่ายผู้นั้นจะน่าเกรงขามสักแค่ไหน ไม่ใช่ว่าเขาก็ตายไปแล้วไม่ใช่หรือ”

ตอนที่เขาพบกับจี้อวี๋ครั้งแรก เฉินซีเคยได้ยินคนผู้นี้กล่าวถึงช่วงเวลาเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน เนื่องจากความปรารถนาที่จะสืบทอดมรดกจากนายท่านของจี้อวี๋ จึงได้มีผู้บ่มเพาะน่าเกรงขามมากมายเข้ามาทดสอบด่านแห่งสรวงสวรรค์ ซึ่งคนที่น่ากลัวที่สุดคือเซียนกระบี่ไร้พ่ายที่ผ่านได้แค่บททดสอบขั้นที่สิบสามเท่านั้น ก่อนที่เขาจะถึงจุดจบเมื่อแสนปีที่แล้ว

จี้อวี๋สั่นศีรษะพลางถอนใจหนักหน่วง “ไม่ใช่…ไม่เหมือนกัน”

บัดนี้บันทึกกลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว พูดต่อไปก็เปล่าประโยชน์ เฉินซีจึงละความสนใจไปสังเกตสภาพแวดล้อมต่อทันที และเมื่อมองเห็นโถงที่ว่างโล่ง ชายหนุ่มจึงอดปากถามออกไปไม่ได้ว่า “ผู้อาวุโส สถานที่นี้เคยเป็นที่พำนักของเซียนกระบี่จริงหรือ?”

“ถ้าข้าเดาไม่ผิด ที่นี่เป็นห้องโถงใหญ่ที่ตงหมิงเคยอาศัยอยู่” จี้อวี๋กวาดตามองไปรอบ ๆ ทันใดนั้นเขาก็ชี้ไปที่เตียงหยก “ขึ้นไปนั่งบนนั้นจะทำให้ปราณแท้ในตัวเจ้าเกิดการไหลเวียน”

เมื่อเฉินซีได้ยินเช่นนั้น ปัญญาจึงบังเกิดทันที ชายหนุ่มโพล่งถามว่า “หรือว่าเตียงหยกคือศูนย์กลางการควบคุมพลังทั้งหมดของเซียนกระบี่ ใช่ไหมขอรับ”

“ถูกแล้ว แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ คงไม่สามารถยึดครองที่พำนักเซียนแห่งนี้ไว้ได้อย่างแน่นอน อย่างมากที่สุดเจ้าคงทำได้เพียงอาศัยเตียงหยกเพื่อรับรู้สิ่งต่าง ๆ ภายในที่พำนักแห่งนี้เท่านั้น”

ในฐานะที่อยู่มานานนับล้านปี จี้อวี๋ย่อมรอบรู้ในทุกสิ่งราวกับเป็นหลังมือตัวเอง จากนั้นเขาก็พูดด้วยเสียงเรียบเรื่อย “ถ้าเจ้าต้องการครอบครองสมบัติล้ำค่าในสถานที่แห่งนี้ทั้งหมด เจ้าก็ควรรีบใช้เตียงหยกนี้ตรวจสอบสถานที่แห่งนี้ให้ละเอียดเพื่อล่วงรู้ว่าสิ่งของทั้งหมดซ่อนอยู่ที่ใด จงจำไว้เจ้าต้องรีบทำเพราะเจ้ามาช้ากว่าคนอื่นสามวันแล้ว”

เป็นธรรมดาที่เฉินซีจะไม่อาจโต้แย้ง ชายหนุ่มขยับขึ้นไปนั่งบนเตียงหยกทันที ฉับพลันเขาก็รับรู้ถึงความเย็นสดชื่นที่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อสภาวะจิตใจให้สงบนิ่ง เห็นได้ชัดว่าเตียงหยกนี้ส่งผลต่อการฝึกบ่มเพาะพลังด้วยเช่นกัน

หืม!?

ทันทีที่ปราณแท้ในร่างกายไหลเวียน เฉินซีรู้สึกราวกับเกิดเสียงขึ้นในใจ และทันใดนั้นก็มีแผนภาพซึ่งดูเหมือนจริงปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา ภายในแผนภาพนั้นมีหลายประโยคเขียนกำกับไว้ ‘ห้องโถงตำรา’ ‘ห้องโถงสมบัติ’ ต่าง ๆ นานาจนน่าตกใจ นี่มันคือแผนผังของสถานที่แห่งนี้นั่นเอง!

เฉินซีมองไล่ไปทีละส่วน ๆ แล้วก็อดใจไม่อยู่ถึงกับอุทานเสียงหลง

ที่พำนักเซียนกระบี่แห่งนี้มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร มีพื้นที่ราวหนึ่งพันลี้เห็นจะได้ ด้านนอกรายล้อมด้วยเส้นทางคดเคี้ยวทั้งยาวและแคบถึงแปดเส้นทาง และได้รับการขนานนามตามลำดับว่า ‘โชคลาภ’ ‘โชคร้าย’ ‘การชมเชย’ ‘การใส่ร้าย’ ‘การสรรเสริญ’ ‘การเยาะเย้ย’ ‘ความเจ็บปวด’ และ ‘ความสุข’ อันเป็นสัจธรรมทั้งแปดที่สามารถเกิดแก่จิตใจมนุษย์

มีค่ายกลสามกระบี่สายฟ้าทองคำอันน่าสะพรึงกลัวซ่อนเร้นอยู่ภายในเส้นทาง ‘โชคลาภ’ อีกทั้งยังมีวิญญาณและผีร้ายมากมายนับไม่ถ้วนล่องลอยทั่วไปตามทางเดินนี้ ส่วนบนเส้นทาง ‘ใส่ร้าย’ ก็มีเปลวไฟสีดำผุดออกมาจากแกนเปลือกโลก ไหลทะลักเป็นสายน้ำใหญ่…

ไม่ว่าจะเดินทางใด ล้วนเต็มไปด้วยเจตนาสังหารน่าสะพรึงกลัวซ่อนเร้นอยู่ทั้งสิ้น!

เฉินซีรู้สึกกลัวจนตัวสั่นเมื่อได้เห็นสิ่งเหล่านี้พลางคิดในใจว่า ‘ถ้าข้าเข้าไปในถ้ำแล้วผ่านเข้าเส้นทางทั้งแปดด้วยพลังบ่มเพาะที่เป็นอยู่ เห็นทีคงไม่ต่างอะไรกับถูกตัดสินให้ตายเป็นแน่’

จุดสิ้นสุดของเส้นทางทั้งแปดคือส่วนที่เป็นแกนหลักของถ้ำ ซึ่งจะแบ่งออกเป็นสี่ห้องโถงตามลำดับดังต่อไปนี้

ห้องโถงตำรา ห้องโถงสมบัติ ห้องโถงสมุนไพรร้อยแปด และห้องโถงทดสอบมรรคายุทธ์ ส่วนใจกลางของห้องโถงทั้งสี่ก็คือห้องโถงหลักที่เฉินซีอยู่ในตอนนี้ อีกทั้งยังเป็นจุดศูนย์กลางที่ควบคุมถ้ำทั้งหมดอีกด้วย

ภายในห้องโถงทั้งสี่ห้อง ประกอบด้วยห้องหับต่าง ๆ อีกจำนวนมากกระจายออกไปเหมือนรังมด และในนั้นก็เก็บสมบัติซึ่งไม่มีผู้ใดล่วงรู้

อย่างไรก็ตาม เฉินซีรู้สึกยินดีที่ห้องโถงหลักที่ตนมาอาศัยอยู่นั้นสามารถตรงเข้าสู่ห้องโถงอื่นอีกสี่แห่งได้ทันที โดยไม่มีการวางค่ายกลกับดักแต่อย่างใด

“ผู้อาวุโสจี้อวี๋ ท่านว่าข้าควรไปที่ไหนก่อนระหว่างห้องโถงสมบัติหรือว่าห้องโถงตำรา”

เฉินซีออกจะลังเลเล็กน้อย ตามชื่อของมันนั้น ห้องโถงสมบัติควรเป็นที่เก็บสมบัติวิเศษและศัสตราวิเศษต่าง ๆ ที่ตงหมิงทิ้งไว้ ขณะที่ในห้องโถงตำราจะมีคัมภีร์และเคล็ดวิชาบ่มเพาะมากมายหลากหลาย เห็นได้ชัดว่าทั้งสองแห่งล้วนมีสิ่งดึงดูดใจผู้บ่มเพาะได้มากพอกัน

ขณะที่ห้องโถงสมุนไพรร้อยแปดซึ่งจัดเก็บขุมทรัพย์แห่งฟ้าดินก็มีสิ่งดึงดูดใจไม่แพ้กัน แต่สำหรับเฉินซีกลับรู้สึกว่าความน่าดึงดูดใจของห้องโถงนี้ยังด้อยกว่าสองห้องโถงก่อนหน้านี้มากนัก

ในขณะที่ห้องโถงทดสอบมรรคายุทธ์ สันนิษฐานว่าจะเป็นสถานที่ที่ตงหมิงใช้เป็นที่ฝึกฝนทักษะเคล็ดวิชา ที่แห่งนั้นจึงไม่ค่อยน่าสนใจสำหรับชายหนุ่ม

“หืม?” ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยว่ากระไร เฉินซีพลันสังเกตเห็นรัศมีทรงกลมสีขาวจำนวนกว่าสิบวงปรากฏขึ้นบนแผนที่กะทันหันและเคลื่อนผ่านเส้นทาง ‘สรรเสริญ’ ไป

“รัศมีสีขาวน่าจะเป็นตัวแทนของเหล่าผู้บ่มเพาะที่เข้ามาในที่แห่งนี้ พวกเราจึงสามารถมองเห็นพวกเขาได้จากที่นี่”

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ในใจชั่วขณะ ใจของเขาพลันเต้นแรงขึ้นเมื่อตระหนักถึงความผิดปกติบางอย่าง “กลุ่มของไฉ่เล่อเทียนมีแปดคนเท่านั้น แสดงว่ารัศมีสีขาวพวกนี้ต้องเป็นกลุ่มของซูเจียว และถ้าดูจากทิศทางที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไป แสดงว่าจะไปถึงห้องโถงสมบัติแน่… ไม่ได้! ข้าไม่ยอมให้พวกมันมาฉวยโอกาสอย่างเด็ดขาด!”

ฟิ้ววว!

เจ้าตัวขยับลุกขึ้นก่อนจะพุ่งตัวออกไปอย่างไม่ลังเล

“เจ้าเห็นอะไร” จี้อวี๋ทะยานขึ้นสู่อากาศตามเฉินซีไปติด ๆ เขาไม่มีแผนที่ แต่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติจากท่าทางของเฉินซี

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]