บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 533

บทที่ 533 เกิดมาเพื่อต่อสู้

บทที่ 533 เกิดมาเพื่อต่อสู้

ที่ด้านหน้าของเมืองบรรพกาล

ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้งสี่คนยืนอยู่ท่ามกลางอากาศด้วยกลิ่นอายอันทรงพลังที่ปกคลุมบริเวณโดยรอบ พวกเขาเป็นดั่งเทพป่าเถื่อนในยุคบรรพกาลที่มีความดุร้าย ซึ่งทำให้ทุกคนในเมืองหวาดกลัวและรู้สึกหายใจลำบาก

ครืนนน!

ฟ้าดินเริ่มคร่ำครวญ สายลมโหมกระหน่ำอย่างฉับพลัน มวลเมฆสีดำปกคลุมทั้งเมืองและฟ้าแลบดังสนั่นมาจากเบื้องบน ทำให้ดูเหมือนว่าวันโลกาวินาศได้มาถึงแล้ว

“จักรพรรดิภูตผีหลีหวง?” ในขณะนี้ ปิงซื่อเทียนได้ก้าวไปข้างหน้า ในขณะที่ทั่วทั้งร่างกายของเขาเปล่งแสงออกมามากมาย

และเมื่อก้าวไปข้างหน้า ฟ้าดินอันวุ่นวายก็ดูจะสงบลง ปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็หายไปอย่างสมบูรณ์ โลกทั้งใบพลันสงบสุขและสว่างไสวด้วยลำแสง เผยให้เห็นบรรยากาศอันเงียบสงบและเป็นระเบียบเรียบร้อย

นี่คือพลังของเซียนสวรรค์ พลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎของฟ้าดินให้อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา และขอเพียงนึกคิดก็สามารถใช้เคล็ดวิชามากมายออกไปได้อย่างพร้อมเพรียงกัน!

ปิงซื่อเทียนยืนอย่างองอาจท่ามกลางท้องฟ้า เผยกลิ่นอายอันสง่างามของเซียนสวรรค์จนถึงขีดสุด ทำให้เขาดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง

“ฮ่า ๆๆ! ข้าไม่เคยนึกเลยว่าในหมู่คนรุ่นเยาว์ยังมีคนที่จดจำข้าหลีหวงได้” หลีหวงผู้สวมชุดสีดำหัวเราะขึ้นไปบนท้องฟ้า เปลวไฟสีม่วงรอบตัวพลุ่งพล่าน ทำให้เขาดูเหมือนเทพมารผู้ชั่วร้าย

“ฮึ่ม! เจ้าเป็นเพียงวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ หากเป็นเจ้าในยุครุ่งเรือง ข้าก็คงต้องล่าถอย แต่ตอนนี้การสังหารเจ้านั้นง่ายดายดั่งพลิกฝ่ามือ!” หนุ่มรูปงามตะโกนด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจและความเย่อหยิ่ง

“ช่างน่าเบื่อเสียจริง เจ้าเป็นเพียงร่างจำแลงของเซียนสวรรค์ แต่กลับกล้าโอ้อวดอย่างไร้ยางอายเช่นนี้ ดูเหมือนภพเซียนคงใกล้ถึงจุดจบ แต่ละรุ่นจึงยิ่งเลวร้ายยิ่งกว่ารุ่นก่อน ๆ” ลั่วชวนที่อยู่ใกล้เคียงหัวเราะเบา ๆ ด้วยความดูถูกเหยียดหยาม ในขณะที่ปีกสีขาวบริสุทธิ์กระพืออยู่ที่ด้านหลัง และดวงตาที่เหมือนพระจันทร์สีเลือดสองดวงก็ทำให้เขาดูน่ากลัวอย่างยิ่ง

“ผู้เยาว์ เจ้าควรจากไปโดยเร็วซะ เมืองบรรพกาลใกล้ถูกทำลายล้างในไม่ช้า และเจ้าก็ไม่อาจปกป้องมันได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นอย่าได้เอาชีวิตมาทิ้งเพียงเพราะเหตุนี้เลย” ผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างเผ่าพันธุ์จากพิภพทะเลหมอกซึ่งร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยม่านน้ำสีฟ้าสดใสขณะที่กล่าวอย่างไม่เร่งรีบ

“ถูกต้อง เซียนสวรรค์เพียงคนเดียวไม่อาจต่อกรกับพวกข้าทุกคนได้หรอก” หลูกังผู้มีผมสีทองและดวงตาสีเขียวหยกกล่าวอย่างเฉยเมย

“โอ้?” คิ้วของปิงซื่อเทียนเลิกขึ้นขณะที่เหยียดยิ้มดูถูก “นี่พวกเจ้าทุกคนคิดว่าด้วยพลังอันน้อยนิดเช่นนั้นจะทำให้ข้าหวาดกลัวอย่างนั้นหรือ? งั้นข้าจะบอกความจริงแก่พวกเจ้าทุกคนแล้วกัน อันที่จริงร่องรอยของพวกเจ้าถูกเปิดเผยมานานแล้ว ก่อนที่พวกเจ้าทุกคนจะมาถึงที่นี่ และข้าปิงซื่อเทียนมาที่นี่เพื่อฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด!”

ขณะที่กล่าว กลิ่นอายอันสง่าผ่าเผยบนร่างกายของเขาก็สั่นสะเทือนก่อนที่จะกลายเป็นแสงอันเจิดจ้าอย่างมาก และจากนั้นเจ้าตัวก็ตะโกนออกไปอย่างดุเดือด “ศัสตราแห่งทวยเทพ ช่วยข้ากำจัดพวกนอกรีตเหล่านี้ด้วย!”

โอม!

ทันทีที่เขากล่าว จู่ ๆ ดวงแสงศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดดวงก็ปรากฏขึ้นจากทั้งแปดทิศของเมืองบรรพกาล จากนั้นพวกมันก็โบยบินไปรอบ ๆ ปิงซื่อเทียน พร้อมกับเผยให้เห็นพลังเทวะอันยิ่งใหญ่

สิ่งเหล่านี้คือศัสตราแห่งทวยเทพที่เพิ่งปรากฏขึ้นได้ไม่นาน เดิมทีหวงฝู่ฉิงอิงและศิษย์อีกเจ็ดคนได้รับพวกมันมา แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง จึงมารวมตัวกับปิงซื่อเทียนเพื่อต่อสู้เคียงข้างเขา!

“ศัสตราแห่งทวยเทพ!” ดวงตาสีเงินของจักรพรรดิภูตผีหลีหวง เผยให้เห็นถึงความเกลียดชังที่ฉายชัดและดูเหมือนเขาจะรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่อยากจดจำขึ้นมาได้

“ทุกคน ร่วมมือกันทำลายคนผู้นี้ซะ หลังจากนั้นเราจะขัดเกลาาศัสตราแห่งทวยเทพและทำลายล้างเมืองบรรพกาล!” สีหน้าของหลูกังมืดมนเมื่อเขาเห็นปิงซื่อเทียนมีความมั่นใจมาก จากนั้นเจ้าตัวก็ตะโกนอย่างดุดันทันทีก่อนที่จะลงมือก่อน

ตู้ม!

ท่ามกลางเสียงโครมครามดุจเสียงฟ้าร้อง แสงสีทองที่ไร้ขอบเขตได้พุ่งออกมาจากร่างของหลูกัง ราวกับมหาสมุทรอันยิ่งใหญ่ จากนั้นมันก็รวมตัวกันเป็นมือขนาดใหญ่และคว้าปิงซื่อเทียนไว้

“แค่เจ้าเองหรือ?” เซียนสวรรค์หนุ่มแสดงท่าทีดูถูกเหยียดหยาม ในขณะที่ผมยาวของเขาปลิวไสวไปตามสายลม และเจ้าตัวก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนใด ๆ เมื่อมือสีทองขนาดใหญ่มาถึงตรงหน้า ด้วยมันถูกหนึ่งในศัสตราแห่งทวยเทพสกัดเอาไว้ จากนั้นมือสีทองก็พังทลายจนเกิดเสียงโครมครามและแตกกระจายกลายเป็นประกายสีทองนับไม่ถ้วน ก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ศัสตราแห่งทวยเทพ กระจกเงาบุปผา!” ดวงตาของหลูกังหรี่ลง ค้อนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในมือของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเจ้าตัวก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างดุดัน ทำให้บรรยากาศสั่นสะท้าน และทุกย่างก้าวของเขาก็บังเกิดเป็นดอกไม้สีทองขึ้นรองรับเบื้องล่าง “เจ็ดก้าวทลายฟ้า ค้อนสังหารเทพ!”

เงาค้อนพุ่งฉีกผ่านท้องฟ้า ซึ่งแต่ละอันก็ขยายตัวอยู่ท่ามกลางอากาศ ราวกับภูเขาขนาดมหึมาที่มีกลิ่นอายสูงส่งและหนักอึ้ง จากนั้นพวกมันก็บดขยี้ลงมาที่ปิงซื่อเทียน

ในเวลาเดียวกัน หลีหวง ลั่วชวน และหมิงจื่อก็โจมตีติดต่อกัน

ด้วยการกวาดมือของหลีหวง เปลวไฟสีม่วงที่เสมือนผุดขึ้นมาจากขุมนรกได้กลายเป็นโซ่เปลวไฟสีม่วงนับพันที่ลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนจะฟาดลงมาที่ชายหนุ่มจากด้านข้าง

ปีกสีขาวบริสุทธิ์ของลั่วชวนกระพือไหว ทำให้อักขระยันต์สีเงินสดใสหลั่งไหลออกมานับไม่ถ้วน ซึ่งทุก ๆ อักขระยันต์ก็เป็นดั่งใบมีดที่ปะทุด้วยแสงสีเงิน พากันถาโถมออกมาราวกับแม่น้ำกว้างใหญ่ที่เกรี้ยวกราด ซึ่งน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

ในทางกลับกัน หมิงจื่อพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ในขณะที่ท้องฟ้าสีครามก็ผันผวนดั่งระลอกคลื่นจากเขาที่อยู่ระหว่างคิ้วนั่น และมันก็ขยายเป็นวงกลมวงแล้ววงเล่า ดังนั้นทุกที่ที่มันผ่านไปจึงทำให้บรรยากาศพังทลายและแตกสลายไปทีละนิด เช่นเดียวกับอานุภาพของมันที่ก็น่าตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก!

ทันทีที่ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเหล่านี้ปรากฏตัว พวกเขาล้วนใช้ท่าสังหารที่ดุดัน ซึ่งทำให้ฟ้าดินตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่

สีหน้าของทุกคนในเมืองดูเคร่งขรึม เนื่องจากรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ เพียงแค่มองดูการต่อสู้จากระยะไกล ก็ทำให้พวกเขารู้สึกไร้พลังและสิ้นหวังยิ่ง

พวกเขาเหมือนมดที่เฝ้าดูพญาอินทรีต่อสู้กันบนเวหา ซึ่งต่ำต้อยจนไม่มีสิทธิ์ที่จะสอดมือเข้าไปแทรกแซงได้

“ข้าสงสัยว่าปิงซื่อเทียนจะต้านทานการโจมตีเช่นนี้ได้อย่างไร?” เฉินซีรู้สึกตกใจอย่างมาก เมื่อเห็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่น่าอัศจรรย์ซึ่งอยู่ในระยะไกล

เมื่อความคิดนี้เพิ่งเกิดขึ้นในใจ เขาก็เห็นง้าวสีเงินที่เปล่งแสงเทวะมหาศาลในมือของปิงซื่อเทียน จากนั้นมันก็แผ่ออกไปทั่วทั้งฟ้าดินและเปลี่ยนแปลงกฎของสภาพแวดล้อมจนทำให้ห้วงเวลาและมิติบิดเบี้ยว

การโจมตีด้วยง้าวเพียงครั้งเดียว ก็สามารถทำลายการโจมตีทั้งหมดที่ถาโถมเข้ามา ดังนั้นเขาจึงทรงพลังอย่างไร้ที่สิ้นสุด

ในช่วงเวลาต่อมา ปิงซื่อเทียนก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า สายตาของเขาเย็นชาดุจสายฟ้าฟาด จากนั้นจึงชี้ง้าวไปที่หลีหวงและคนอื่น ๆ แล้วค่อยตะโกนอย่างดุดันว่า “เจ้ากล้ามาที่นี่เพื่อต่อสู้หรือไม่?”

“ทำไมจะไม่กล้าเล่า!?” หลีหวงและคนอื่น ๆ พุ่งเข้ามาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

สาเหตุที่ปิงซื่อเทียนทำเช่นนี้เพราะเขากังวลว่าการต่อสู้จะส่งผลกระทบต่อเมืองบรรพกาลที่อยู่ข้างใต้ ในขณะที่หลีหวงและคนอื่น ๆ ก็กังวลว่าจะทำอันตรายต่อกองทัพมรณะเช่นกัน

มิฉะนั้น การต่อสู้ของพวกเขาจะทำลายทุกสิ่งจนหมดสิ้น และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายเต็มใจจะให้มันเกิดขึ้น

อาจกล่าวได้ว่าทั้งสองฝ่ายมีความตั้งใจเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างสนามรบแห่งใหม่ที่สูงขึ้นไปเหนือท้องฟ้า

ครืนนน!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]