บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 569

บทที่ 569 ถกเต๋า

บทที่ 569 ถกเต๋า

จู่ ๆ ชายหนุ่มในชุดเขียวก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีที่มา และท่าทางที่เรียบง่ายประหนึ่งดอกบัวในน้ำที่ใสกระจ่างและมีกลิ่นอายอันกว้างใหญ่ของเขานั้นก็ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกสงบ

แต่เมื่อสบสายตากับชายหนุ่มคนนั้น มันก็ทำให้จิตวิญญาณของเฉินซีสั่นสะท้านด้วยความกลัวแทน

ภายในดวงตาที่ใสกระจ่างราวกับบ่อน้ำคู่นี้ เขาเห็นทิวทัศน์อันงดงาม ฉากฟ้าดินที่พังทลายราวกับวันสิ้นโลก ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ทะเลเพลิงของนรกที่กว้างใหญ่และเดือดดาล…

ปรากฏการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ดูเหมือนกับพงศาวดารของกาลเวลา การเปลี่ยนแปลงของภพทั้งสามและการคาดการณ์ต่อการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา ซึ่งทำให้รู้สึกราวกับตนเองติดอยู่ในนั้นและไม่สามารถหลุดพ้นได้

“ให้ข้าได้แนะนำตัวเองเสียหน่อยแล้วกัน ข้ามีนามว่าเต๋าบงกช และข้าถือกำเนิดจากกลีบของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ในกลียุค ข้าไม่มีรูปร่างหรือกายเนื้อ เป็นเพียงเศษเสี้ยวเจตจำนงสวรรค์” ชายหนุ่มชุดเขียวยิ้มอย่างอบอุ่น เสียงของเขาฟังดูชัดเจนและไพเราะเหมือนระฆัง ทำให้เฉินซีรู้สึกแปลก ๆ ราวกับกำลังฟังเสียงที่น่าอัศจรรย์ของมหาเต๋า

เมื่อได้ยินเสียงนี้ เขาก็กลับมารู้สึกตัวทันที จากนั้นก็ประสานมือและกล่าวว่า “ศิษย์เฉินซี ขอคารวะผู้อาวุโสขอรับ”

ชายหนุ่มที่เรียกว่าเต๋าบงกชนั้น ถือกำเนิดขึ้นจากกลีบของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ในกลียุค แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวเจตจำนงของสวรรค์ แต่อีกฝ่ายก็ยังทำให้เฉินซีรู้สึกราวกับกำลังเผชิญหน้ากับผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจากสวรรค์

เขามีท่าทางที่น่าเกรงขามมากกว่าปิงซื่อเทียนซึ่งเป็นเซียนสวรรค์อยู่หลายร้อยเท่า และอีกฝ่ายก็เหมือนดั่งซากดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตยืนยาวจนนับปีไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ามองว่าคนผู้นี้เป็นชายหนุ่มอย่างเด็ดขาด

ไม่ต้องกล่าวถึงว่านี่คือแกนหลักและสถานที่สำคัญของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดศาสตร์เต๋าทั้งหมด การที่ชายหนุ่มผู้นี้อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ราวกับเป็นเจ้าของสถานที่ ดังนั้นความอาวุโสของเขาจึงไม่ธรรมดา

“ไม่จำเป็นต้องมากพิธีการ การที่เราได้พบกันนั้นคือชะตาฟ้าลิขิต อันที่จริง หลังจากข้าตื่นขึ้นจากการปิดด่านบ่มเพาะ เจ้าถือเป็นศิษย์คนแรกของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองที่ข้าได้พบ” เจ้าของรอยยิ้มอบอุ่นกวักมือเรียกเฉินซี

ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ตอบสนอง ร่างกายของเขาได้ไปปรากฏที่ศาลากล้วยไม้ข้างลำธารซึ่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอย่างกะทันหัน และตั้งแต่ต้นจนจบ เขาก็ไม่มีโอกาสที่จะดิ้นรนแม้แต่น้อย!

‘เขาแข็งแกร่งยิ่งนัก หากเขากระตุ้นจิตสังหารใส่ข้าแล้วละก็ ข้าคงไม่ตายไปแล้วหรอกหรือ?’ เฉินซีลอบตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบกับภาวะแบบนี้ ซึ่งทำให้รู้สึกว่าร่างกายและจิตใจของตนไม่เป็นตัวของตัวเอง อีกทั้งยังยอมจำนนต่อทุกคำพูดและการกระทำของชายหนุ่มตรงหน้า

“นี่มันการบ่มเพาะแบบใดกัน จึงสามารถควบคุมพลังเช่นนี้ได้?”

เฉินซีในตอนนี้รู้สึกราวกับกำลังเผชิญหน้ากับเทพเจ้าที่แท้จริงของยุคบรรพกาล และอีกฝ่ายก็ทรงพลังจนเขาไม่แม้แต่จะคิดกล้าขัดขืนใด ๆ

“บอกข้ามา เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่” อีกฝ่ายดูจะรู้ความคิดของเฉินซี แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยและเพียงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกราวกับกำลังอาบสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ

“เพื่อแสวงหาศาสตร์เต๋าขอรับ” เฉินซีตอบตามความเป็นจริง เขาต้องการศาสตร์เต๋าที่แข็งแกร่งที่สุด เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง มิฉะนั้น เขาคงไม่ทุ่มเทเพื่อขึ้นมายังบนแท่นดอกบัวและมาถึงที่นี่

“โอ้ แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าศาสตร์เต๋าคือสิ่งใด?” เต๋าบงกชยังคงถามด้วยรอยยิ้ม

“ศาสตร์ในการใช้มหาเต๋าหรือขอรับ?” เขาครุ่นคิดสั้น ๆ ก่อนตอบ

“ผิดแล้ว!” อีกฝ่ายส่ายศีรษะ “ศาสตร์นั้นครอบคลุมและมีอยู่ในทุกสรรพสิ่ง คนสับฟืนหรือนกสร้างรัง แต่ละสิ่งก็มีวิถีของตัวเอง ทั้งสองต่างมีศาสตร์ของตนเอง แต่พวกเขาไม่ใช่ศาสตร์เต๋าที่แท้จริง”

เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เต๋าบงกชก็ยกแขนขวาขึ้นและประสานนิ้วที่เรียวขาวเข้าด้วยกัน จากนั้นต้นอ่อนสีเขียวก็ปรากฏขึ้นจากอากาศเบาบาง มันเติบโตอย่างต่อเนื่อง ก้านและใบของมันเขียวชอุ่ม อีกทั้งยังงอกงามยิ่งขึ้น ในเวลาไม่นาน ดอกบัวสีขาวหยกก็ค่อย ๆ บานขึ้นที่ยอด กลีบของมันมีน้ำค้างซึ่งแผ่กลิ่นอายที่สดชื่นอย่างไม่ธรรมดาออกมา และมันก็แกว่งไกวไปตามสายลม

หลังจากนั้นใบกับดอกก็ร่วงหล่น ก้านก็เหี่ยวเฉา และกลายเป็นผุยผง

แม้ว่ากระบวนการทั้งหมดจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงวิธีการที่ดอกบัวเริ่มแตกหน่อ เติบโต ผลิบาน เหี่ยวเฉา และสลายไปอย่างละเอียด ซึ่งเป็นกระบวนการทางธรรมชาติตั้งแต่เกิดจนล้มตาย ทำให้เฉินซีไม่อาจละเว้นจากการเป็นใบได้

“นี่คือศาสตร์เต๋าที่ได้มาจากธรรมชาติ ซึ่งจะต้องเข้าใจเต๋าเสียก่อน ถึงจะสามารถบัญญัติเป็นเคล็ดวิชา จึงจะเรียกสิ่งนี้ว่าศาสตร์เต๋าได้” เต๋าบงกชกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าความเข้าใจของศิษย์นั้นถูกต้องหรือไม่ขอรับ” เฉินซีครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “แก่นแท้ของทุกสิ่งล้วนมาจากธรรมชาติ เพราะสิ่งที่กำลังทำความเข้าใจอยู่นั้น ล้วนมีมากมายอยู่ในธรรมชาติ และมหาเต๋าอันลึกล้ำก็อยู่ในสิ่งต่าง ๆ การเชี่ยวชาญเต๋ารู้แจ้งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการได้รับเต๋าเช่นกัน และการที่จะบัญญัติมันเป็นเคล็ดวิชานั้นคือแก่นแท้ของศาสตร์เต๋า”

“ไม่เลว ไม่เลว” เต๋าบงกชชำเลืองมองเฉินซีด้วยสายตาที่ ชื่นชม จากนั้นเขาพยักหน้าและกล่าวว่า “ถ้าเจ้าต้องการที่จะเชี่ยวชาญศาสตร์เต๋า เจ้าก็ควรเข้าใจวิธีการใช้เคล็ดวิชาด้วยเต๋ารู้แจ้งของเจ้า”

“อันที่จริง ถ้ากล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือ ศาสตร์เต๋าเป็นเพียงเคล็ดวิชาต่อสู้ระดับสูงเท่านั้น ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างพวกมันก็คือ การที่จะใช้ศาสตร์เต๋าได้นั้น ผู้ใช้จะต้องเชี่ยวชาญเต๋ารู้แจ้งในขอบเขตขั้นสูง ในขณะที่เคล็ดวิชาต่อสู้ก็เป็นเหมือนกับรากฐาน เจ้าเพียงต้องเข้าใจในเต๋ารู้แจ้ง จึงจะบ่มเพาะมันได้ และเป้าหมายสุดท้ายของการบ่มเพาะเคล็ดวิชาต่อสู้ก็เพื่อให้ได้รับเต๋าและใช้เคล็ดวิชาได้”

“ดังที่ปราชญ์โบราณเคยกล่าวไว้ว่า การกระทำของมนุษย์ส่งผลต่อโลก การเคลื่อนไหวของโลกส่งผลต่อเต๋า และเต๋าก็ส่งผลต่อธรรมชาติเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ศาสตร์เต๋าอาจตีความหมายได้ว่า เป็นวิธีการใช้ประโยชน์จากเต๋ารู้แจ้งอย่างที่เจ้าพูด”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เฉินซีดูเหมือนจะหลงทางในความคิดและนิ่งเงียบไป

“เจ้าเข้าใจหรือไม่?” เต๋าบงกชเอ่ยถาม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]