บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 603

บทที่ 603 ภพมนุษย์

บทที่ 603 ภพมนุษย์

เมืองเร้นธารา

มันเป็นเมืองหนึ่งในภพมนุษย์ที่มีประชากรอยู่มาก เต็มไปด้วยร้านค้า เรือสำเภา และเจริญรุ่งเรืองยิ่ง

ตามท้องถนนคลาคล่ำไปด้วยผู้คนทุกประเภท เช่น นักปราชญ์ คนเร่ขาย ทหารยาม นักเล่นกล นักแสดง และนักเล่าเรื่อง มองไปเห็นได้ทุกที่

เฉินซีรู้สึกถึงมวลอากาศหนาแน่นในภพมนุษย์ซึ่งตีเข้าหน้าทันทีที่เขามาถึงเมืองเร้นธารา ภพมนุษย์อันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา แตกต่างจากโลกแห่งการบ่มเพาะอย่างสิ้นเชิง

“ซาลาเปาหยก ซาลาเปาหยกร้อน ๆ … บรรพบุรุษของข้าน้อยเคยทำงานอยู่ในครัวหลวง ผู้ก่อตั้งราชวงศ์เคยเข้ามาตรวจ และได้ลิ้มลองซาลาเปาที่บรรพบุรุษของข้าน้อยทำเอาไว้และชมไม่หยุดปาก”

“ผู้ชมทั้งหลาย พัดขนนกเล่มนี้ได้รับการเย็บขึ้นโดยยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งหอหยกกระจ่าง กวีบนพัดมาจากปราชญ์อันดับหนึ่งแห่งสถาบันหลวงนามว่าจวงอู๋อวี๋ พรมไปด้วยน้ำหอม มีกวีมูลค่าสูงเขียนอยู่ ราคาเพียงแปดสิบทองเท่านั้น อย่าได้พลาดโอกาสนี้เชียว” เสียงร้องของคนขายพัดดังขึ้น

“เซียนจิ้งซืออ้าปากคายกระบี่เซียนออกมาเล่มหนึ่ง เหมือนลำแสงเส้นหนึ่งทะลวงตะวัน ลมเย็นพัดผ่าน กระบี่เซียนปกคลุมฟ้าดิน ทำให้ปีศาจต้นหลิวชราหวาดกลัวจนวิญญาณแทบออกจากร่าง รีบเคลื่อนกายหวังหลบหนี…” ภายในโรงน้ำชา นักเล่านิทานคนหนึ่งกำลังเล่าเรื่องราว ฟังดูมีชีวิตชีวายิ่ง

“อ๊ะ เป็นพี่ชิงเสียนนี่เอง ท่านก็จะตรงไปสอบที่เมืองหลวงเช่นกันหรือ? ได้ยินมาว่าผู้คุมสอบของสถาบันหลวงคือใต้เท้าเซียวจิ่นอวี๋ เขาเป็นคนซื่อตรงและเป็นกลาง มีรูปแบบการเขียนที่ทรงพลัง เกลียดงานเขียนที่มีแต่น้ำไม่มีเนื้อเป็นที่สุด เราต้องเขียนให้ถูกใจใต้เท้าได้อย่างเหมาะสม ไม่เช่นนั้นคงสอบไม่ผ่าน”

“ถูกแล้วน้องเฝิงเป่า เราก็ศึกษาหนังสือปราชญ์และคุณธรรมชายชาตรีกันมาอย่างยากลำบากเพื่อให้สอบผ่านและมีชื่อเสียงดังไกลกันแล้วนี่นา ข้าสอบผ่านเมื่อไร ย่อมต้องไปเยี่ยมหอโคมแดงอันดับหนึ่งของเมืองหลวงอย่างหอเมฆาโปรย ดื่มกินให้หนำใจ ใช้เวลาร่วมกับสตรีงามเมืองอันดับหนึ่งของที่นั่นแน่”

“ฮ่า ๆ! สอบผ่าน แต่งงาน พบสหายเก่าในเมืองไกล ล้วนเป็นสามสิ่งสุดยอดในชีวิตที่พวกเราปรารถนาอยากได้นี่นา? พี่ชิงเสียน เราไปหาอะไรดื่มแล้วคุยกันให้สนุกดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลาวัยหนุ่มไปเปล่า ๆ”

ชายหนุ่มสองคนในชุดนักปราชญ์กำลังเดินคุยอยู่บนถนน เหมือนกำลังจะมุ่งหน้าไปสอบที่เมืองหลวง เต็มไปด้วยความหวังและความปรารถนา

เมื่อมองภาพตรงหน้าแล้ว และได้ยินเสียงทั้งหลายที่ดังทั่วไปในถนน จิตใจของเฉินซีก็สงบลงโดยไม่รู้ตัว

เขาเดินเตร่ไปตามถนนในภพมนุษย์ เฝ้าดูอารมณ์ความรู้สึกของเหล่าคนธรรมดา และเหมือนตกอยู่ในภวังค์ความคิด สายตาจ้องมองทุกคนที่พากันดำเนินชีวิตไปในแต่ละวัน

ที่นี่คือภพมนุษย์ ก็เหมือนกับคลื่นความโกลาหลที่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายพากันดำเนินผ่าน ถือกำเนิดชีวิตและดับสลายสิ้นไปตามชะตาลิขิต แม้จะตัวเล็กและไร้สิ่งพิเศษใดดั่งมดตัวหนึ่ง แต่ก็ใช้ชีวิตและตายไปเช่นนี้ไม่จบสิ้น จนเกิดเป็นภพมนุษย์ สร้างความเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์

ผู้บ่มเพาะดิ้นรนภายใต้เต๋าแห่งสวรรค์ สู้อุตสาหะเพื่อคว้าเอาชีวิตอมตะมาให้จงได้ คนธรรมดามีรุ่งมีร่วงในการดำเนินชีวิต ออกแรงเพื่อทำมาหาเลี้ยงชีพ น่าขันนักที่ผู้บ่มเพาะดูถูกคนธรรมดาเหล่านี้แล้วรู้สึกว่าตนเองสูงส่งกว่า คิดว่าคนอื่นเป็นมดตัวหนึ่งเท่านั้นหรือ? ทว่าภายใต้เต๋าแห่งสวรรค์แล้ว ใครกันแน่ที่เล็กดังมดตัวหนึ่ง?

‘หากข้าสามารถยืนอยู่เหนือเต๋าแห่งสวรรค์ในช่วงชีวิตนี้ได้ ก็คงจะอยู่เหนือทุกสิ่งได้กระมัง?’ เฉินซีหยุดเคลื่อนไหว รอบกายเต็มไปด้วยผู้คนขยับเคลื่อน จากนั้นก็แหงนหน้ามองฟ้า จิตใจล่องลอยไปไกลแสนไกล เป็นครั้งแรกที่มีความรู้สึกอยากแหกคอกที่ขังเขาไว้ และเอาชนะเต๋าแห่งสวรรค์ให้ได้

เขาอยากรู้ว่าจะได้เห็นภาพเช่นไรเมื่อสามารถยืนอยู่เหนือเต๋าแห่งสวรรค์ได้

“พี่ชาย อยากซื้อรองเท้าหญ้าสานสักคู่หรือไม่?” ที่ริมถนนตรงที่ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่คือสตรีวัยกลางคนที่เร่ขายรองเท้าคนหนึ่ง ข้างกายยังมีเด็กหญิงคนหนึ่งยืนอยู่ เด็กคนนั้นตัวเตี้ยดูผอมแห้ง มีผิวคล้ำ ใบหน้ามอมแมม ทว่านัยน์ตาคู่นั้นกลับดำขลับส่องประกายเหมือนดวงดาว

เด็กหญิงสังเกตเห็นว่าเฉินซีหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายรองเท้าของนางนานแล้ว จึงนึกว่าเขาคงถูกใจรองเท้าคู่หนึ่งที่ท่านแม่สาน นางลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะรวบรวมความกล้าแล้วถามเสียงเบาออกไป

“ยัยหนู เงียบไปเลย!” หญิงวัยกลางคนมีใบหน้าขรึมและตำหนิเด็กหญิง คนธรรมดาไม่อาจเทียบเคียงท่าทีที่เฉินซีเผยออกมาได้หรอก นางเกรงว่าลูกสาวจะพูดไม่เข้าหู ทำให้เขาไม่พอใจและเกิดปัญหาขึ้น

“ท่านแม่ หากหาเงินไม่พอ แล้วเรื่องที่น้องป่วยจะทำอย่างไร?” เด็กหญิงก้มหน้าลงต่ำ สองมือจับกันแน่นด้วยความไม่สบายใจ เอ่ยคำเสียงเบาออกมา

เฉินซีจึงหลุดจากภวังค์ สังเกตเห็นว่าชุดของแม่ลูกคู่นี้เต็มไปด้วยรอยปะชุนและเก่าเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีฐานะยากจน น่าเวทนานัก

นอกจากนั้นแล้ว แผงตรงหน้ายังมีรองเท้าสานเรียงรายอยู่มากมาย มองปราดเดียวก็รู้ว่าคงขายไม่ได้สักคู่

ตอนนี้ก็พลบค่ำแล้ว หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นในวันนี้ก็คงขายไม่ได้เลย

“ข้าซื้อทั้งหมดนี้เลย” เฉินซียื่นเหรียญเงินให้หญิงวัยกลางคน “รับนี้ไปเสียแล้วรีบกลับบ้านไปรักษาลูกชายเถอะ” เหรียญเงินเหรียญนี้มากพอจะให้ครอบครัวยากจนหนึ่งสามารถมีชีวิตอยู่ไปได้หลายปีทีเดียว

“อา! ขอบคุณนายน้อยมาก ขอบคุณนายน้อย…” หญิงวัยกลางคนตกตะลึงเมื่อเห็นเหรียญเงินเหรียญใหญ่เช่นนั้นอยู่ในมือตน รีบบอกขอบคุณทันที ทั้งยังตื่นเต้นจนพูดไม่เป็นคำ

ทว่าเฉินซีกลับจากไปแล้ว

“ท่านแม่ เมื่อครู่เราพบเทพเซียนหรือ?” การที่เฉินซีหายไปทันทีเช่นนี้ ทำให้เด็กหญิงอดขยี้ตามองไม่ได้ นึกว่าตนเองเห็นภาพหลอน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]