บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 644

บทที่ 644 มหาขุมทรัพย์ทั้งสาม

บทที่ 644 มหาขุมทรัพย์ทั้งสาม

ริ้วแสงพราวประกายส่งเสียงหวีดหวิวยามเคลื่อนผ่านท้องฟ้าดังกระแสน้ำกลางคลื่น พัดพาให้ทั้งฟ้าดินปั่นป่วน

เฉินซีถอนหายใจเสียงยาวขณะที่โบยบินท่ามกลางกลุ่มริ้วแสงหนาแน่นนั้น เขานึกในใจว่าการบ่มเพาะเพื่อเข้าสู่วิถีเซียนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแม้แต่น้อย เพราะเพื่อที่จะเป็นอมตะแล้ว ไม่เพียงจะต้องเอาชนะเต๋าแห่งสวรรค์เท่านั้น หากแต่ยังต้องสละทุกวันเวลาไปกับการแข่งขันที่ดุเดือดและร่วมต่อสู้กับผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ

ขณะนี้ มันราวกับนักรบผู้กล้าหลายพันคนกำลังข้ามสะพานซึ่งทำจากไม้กระดานเพียงแผ่นเดียว ไม่ว่าใครก็ต้องการที่จะก้าวไปยังอีกฟากหนึ่ง และเมื่อเหยียบเท้าลงบนสะพานแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจหลุดพ้นไปจากการแก่งแย่งชิงดีที่ไม่มีวันสิ้นสุดนี้ได้

หากพวกเขาต้องการไปให้ถึงปลายทาง ไม่เพียงแต่จะต้องมีความกล้าที่จะก้าวไปเบื้องหน้าอย่างทระนงเท่านั้น หากแต่ยังต้องเผชิญกับการเข่นฆ่าและการแย่งแย่งที่โหดร้าย มีเพียงผู้ชนะที่จะได้ขึ้นเป็นใหญ่ ในขณะที่ผู้พ่ายไม่อาจหลงเหลือซึ่งเกียรติยศศักดิ์ศรี!

“ศิษย์พี่อันเวย แม้ว่าเหวเงาทมิฬจะมีความลับมากมายและสมบัติล้ำค่านับไม่ถ้วนอย่างชิ้นส่วนมหาเต๋าอยู่ แต่มันก็ไม่ได้ดึงดูดผู้คนมากนักใช่หรือไม่?” ผ่านไปไม่นาน เฉินซีก็สังเกตเห็นความไม่สมเหตุสมผลบางอย่าง แดนภวังค์ทมิฬนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ดังนั้น หากพูดตามตรรกะแล้ว มันควรจะมีดินแดนเร้นลับเช่นเหวเงาทมิฬอยู่มากมาย

ทว่าสิ่งที่เขาเห็นในยามนี้ คล้ายว่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากทั่วทุกมุมโลกจะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ชายหนุ่มจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าที่แห่งนี้จะมีความลับอื่นซ่อนเร้นอยู่หรือไม่?

อันเวยผลิยิ้มบาง คล้ายว่านางรอให้เขาถามเช่นนี้อยู่นานทีเดียว ริมฝีปากแดงระเรื่อของหญิงสาวขยับเบา ๆ “ถ้าพูดถึงเพียงชิ้นส่วนมหาเต๋า แน่นอนว่ามันย่อมไม่อาจดึงดูดใจผู้เยี่ยมยุทธ์ได้มากมาย…”

เหวเงาทมิฬดำรงอยู่มาตั้งแต่บรรพกาลจนถึงตอนนี้ ที่นี่หาได้มีเพียงชิ้นส่วนมหาเต๋าที่ต้นเงาทมิฬศักดิ์สิทธิ์ผลัดทิ้งเอาไว้หลังแห้งตายเท่านั้น หากยังมีสถานที่ลึกลับและยากหยั่งถึงซึ่งซุกซ่อนความลับเอาไว้จำนวนมาก รวมไปถึงบางสิ่งบางอย่างที่อาจสร้างความสั่นสะเทือนไปถึงสวรรค์

สถานที่ลึกลับที่ว่านั่นคงอยู่มาเป็นเวลายาวนานนับแต่ยุคโบราณ ยอดคนผู้มีอิทธิพลต่อสามภพจำนวนมากเคยเข้าไปยังที่แห่งนั้นมาแล้ว หากมันมีเพียงชิ้นส่วนมหาเต๋าอย่างเดียวแล้วละก็ คงไม่สามารถดึงดูดความสนใจของคนเหล่านั้นได้ถึงเพียงนี้

ตามที่อันเวยกล่าว ที่นี่มีสถานที่อยู่สามแห่งที่มีความลึกลับและยากหยั่งถึงที่สุดเหวเงาทมิฬ ได้แก่หนึ่งอาณาจักร หนึ่งเขตแดน และหนึ่งด่าน

คำว่าอาณาจักรหมายถึงอาณาจักรเร้นลับเงาทมิฬ ที่แห่งนี้สั่งสมชิ้นส่วนมหาเต๋าจำนวนมากไว้ใต้ต้นเงาทมิฬศักดิ์สิทธิ์ที่แห้งตาย

ส่วนคำว่าเขตแดนนั้น หมายถึงดินแดนรังสรรค์กระบี่ มันเป็นสถานที่ลึกลับซึ่งถูกทิ้งร้างโดยสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคบรรพกาล สิ่งมีชีวิตนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ชั้นยอดที่รวมพลังกับต้นเงาทมิฬศักดิ์สิทธิ์เพื่อต่อต้านหายนะในสามภพ

หลังเหตุการณ์หายนะครั้งใหญ่ ต้นเงาทมิฬศักดิ์สิทธิ์ได้ทิ้งเศษเสี้ยววิญญาณไว้เบื้องหลัง ในขณะที่สิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่นี้กลับไม่ได้โชคดีเช่นนั้น เขาหลงเหลือไว้เพียงดินแดนที่เป็นดังมรดกตกทอดและถูกลบล้างชื่อไปหมดสิ้นภายใต้กระแสลมแห่งกาลเวลา

สถานที่แห่งนั้นก็คือดินแดนรังสรรค์กระบี่อันลึกลับ มันเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่นำพาให้บุคคลสำคัญมากมายหลั่งไหลเข้ามาในเหวเงาทมิฬ

ขณะที่ด่านหมายถึงด่านแห่งความลึกล้ำ ที่ไม่เพียงแต่ซุกซ่อนไปด้วยชิ้นส่วนมหาเต๋าเท่านั้น ทว่ายังเปี่ยมไปด้วยสุดยอดสมบัติลับที่เพียงพอจะล่อลวงให้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสามภพเกิดความละโมบ!

อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดสามารถยืนยันได้ว่าสมบัติลับเหล่านั้นมีอยู่จริงหรือไม่ มีเพียงข่าวลือเท่านั้นที่สืบทอดกันมาอย่างปาก ทว่าแทบไม่มีใครเคยได้เห็นจริงกับสายตา

หนึ่งอาณาจักร หนึ่งเขตแดน หนึ่งด่าน สามสิ่งนี้คือสุดยอดขุมทรัพย์ที่ลึกลับที่สุดของเหวเงาทมิฬ จริงอยู่ที่ความลับของสถานที่แห่งนี้หาได้จำกัดอยู่เพียงขุมทรัพย์ทั้งสาม แต่หากเปรียบเทียบความคุ้มค่าแล้ว สถานที่สามแห่งนี้สามารถกระตุ้นความปรารถนาของเบื้องลึกภายในจิตใจได้มากที่สุด

สาเหตุที่ผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนมากปรากฏขึ้นภายในเหวเงาทมิฬอย่างต่อเนื่องก็เป็นเพราะสิ่งเหล่านี้

หลังจากที่เฉินซีเข้าใจถึงความลับดังกล่าวแล้ว ความคิดหนึ่งก็พลันแล่นเข้าไปในหัว เขาสงสัยว่าแล้วผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหลจะซ่อนอยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่

“อย่าถือสากันเลยนะศิษย์น้องเฉิน ข้าเองก็เพิ่งจะรู้ความลับนี้เช่นกัน” ดวงตาใสของอันเวยวาววับขณะที่พูดด้วยเสียงแผ่วเบา

“ศิษย์พี่ ท่านคิดมากไปแล้ว” เฉินซียิ้ม

“ฮึ่ม! ศิษย์น้องเฉิน ที่ข้าเคยช่วยเจ้าสังหารไอ้สารเลวจากเกาะปีศาจฉลามมังกรตอนที่อยู่ตำหนักเมฆาเยือกแข็งก็เพราะเห็นว่าเราเป็นศิษย์ร่วมนิกายกัน แต่หลังจากที่เข้าไปในเหวเงาทมิฬแล้ว ก็อย่าได้ตำหนิข้าเลยหากข้าจะเมินเฉยต่อความหุนหันพลันแล่นของเจ้า” หลงเจิ้นเป่ยกัดฟันพูด เขารู้สึกขัดหูขัดตาทุกครั้งที่เห็นเฉินซีกับอันเวยพูดคุยกับ เหมือนว่าเขาจะกินไม่ได้นอนไม่หลับหากไม่ได้ลองยั่วโทสะเฉินซีดูสักครั้ง

“นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ทันทีที่พวกเราเข้าไปในเหวเงาทมิฬ ข้าจะร่วมมือกับศิษย์พี่ทั้งสองเพื่อต่อสู้กับฝ่ายอื่น ๆ อย่างตั้งใจ” เฉินซีตอบด้วยรอยยิ้ม

หลงเจิ้นเป่ยรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยยิ้มของเฉินซี เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉากที่เกิดขึ้นในตำหนักเมฆาเยือกแข็งเมื่อสามวันก่อน เสียงของคำว่า ‘อย่างกับลิง’ ดังก้องซ้ำๆ อีกครั้งภายในโสตประสาท

ริมฝีปากของหลงเจิ้นเป่ยสั่นระริกอย่างช่วยไม่ได้ ความคิดเดิม ๆ ผุดขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชายหนุ่มสั่นหัวคลอน พยายามสลัดความคิดนั้นออกไปจากใจ ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นอย่างเย็นชาอีกครั้ง “ดีแล้ว ตราบใดที่เจ้าเข้าใจ”

เฉินซีหัวเราะ แม้ว่ามุมมองที่อีกฝ่ายมีต่อเขาจะไม่เป็นมิตรนัก แต่อย่างไรก็ดี หลงเจิ้นเป่ยก็ยังมีสิ่งสำคัญที่ยึดถืออยู่ในใจ นั่นคือการที่เขาจะยืนหยัดอย่างเด็ดเดี่ยวเพื่อปกป้องชื่อเสียงของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเมื่อเผชิญกับศัตรูภายนอก นั่นทำให้เฉินซีไม่ได้มองเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจ

อย่างมากที่สุด ก็อาจเป็นเพียงความขัดแย้งเล็กน้อยระหว่างศิษย์ร่วมนิกาย

อันเวยเหลือบมองคนทั้งสองด้วยความประหลาดใจ นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีความบาดหมางบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง ซึ่งดูจากสถานการณ์แล้ว เหมือนว่าหลงเจิ้นเป่ยจะเป็นฝ่ายขุ่นเคืองในตัวเฉินซี

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]