บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 69

บทที่ 69 มาถึงหน้าประตู
บทที่ 69 มาถึงหน้าประตู

ลึกเข้าไปในแนวเขาของหุบเขาจันทราโหยหวน

หุบเขาจันทราโหยหวนกินพื้นที่ราวหนึ่งหมื่นลี้ ยอดเขาไม่สูงนัก แต่ดูเหมือนยักษ์ใหญ่โบราณที่นอนขวางอยู่บนพื้น ให้บรรยากาศเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง อาบโลหิตและทรงพลัง ราวกับเป็นราชาแห่งดินแดนกำลังนอนมองดูโลก!

ที่แห่งนี้คือที่พำนักของราชาอีกาทมิฬ ‘จ้านเฟิง’

ปราณอสูรที่นี่หนาแน่นจนควบรวมกลายเป็นดั่งเสาตรงจำนวนมากที่พุ่งขึ้นเสียดฟ้าและก่อตัวเป็นเมฆดำปกคลุมพื้นที่ใต้ท้องฟ้าตลอดทั้งปี ดูราวกับว่าจะแสดงให้เห็นถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของเจ้าถิ่น

“เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ ราชาของเราได้เข้าร่วมกองกำลังกับราชาอสูรอีกสี่ตนในครั้งนี้ และพวกเขาใช้เวลาสามเดือนในการจับผู้บ่มเพาะมนุษย์แปดคนในคราวเดียว”

“ข้าจะไม่รู้เหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นนั้นได้อย่างไร? ข้าได้ยินมาด้วยซ้ำว่าราชาตั้งใจที่จะเปลี่ยนผู้บ่มเพาะทั้งแปดคนให้เป็นหม้อต้มโอสถ!”

“โอสถวิญญาณหรือ? มิน่าเล่า ราชาจึงไม่สังหารพวกมัน แต่เก็บไว้เพื่อกลั่นเม็ดยานี่เอง”

“ชู่ว! เบาๆ! อยากตายหรือไร!?”

“ดูเร็ว! นั่นคือ…”

“ราชาเหยี่ยวสายฟ้าแห่งเทือกเขาสัมฤทธิ์และราชาวานรทมิฬแห่งถ้ำวารีกระซิบ!”

ที่บริเวณรอบนอกของหุบเขาจันทราโหยหวน อสูรสองตัวที่ลาดตระเวนกำลังกระซิบคุยกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง พวกเขาจึงเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า ที่นั่น ร่างสองร่างที่ปกคลุมไปด้วยปราณอสูรกำลังบินเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับอุกกาบาต

“เซวี่ยอวี้ เจ้าตามข้ามาทำไม?” กลางอากาศ ร่างที่ปกคลุมไปด้วยปราณอสูรได้หยุดลงอย่างกะทันหัน ก่อนจะหันกลับมามองด้วยสีหน้ามืดมน คนผู้นี้สวมเสื้อคลุมสีเขียวและมีผมสีขาว รูปลักษณ์ของเขาก็หล่อเหลายิ่ง เขาคือ ‘หยวนถง’ ราชาวานรทมิฬแห่งถ้ำวารีกระซิบ

ขณะที่เขาเอ่ย อีกคนหนึ่งก็เข้ามาประจันหน้ากับเขา คนผู้นี้มีรูปร่างผอมแห้งและดวงตาทอประกายดั่งสายฟ้า เขามีจมูกคล้ายนกอินทรีและริมฝีปากบาง บนร่างนั้นสวมทับด้วยเสื้อคลุมสีม่วง ดูเหมือนจะเย็นชาแต่ก็สง่างาม เขาเป็นหนึ่งในเจ็ดราชาอสูรผู้ยิ่งใหญ่ ราชาเหยี่ยวสายฟ้าแห่งเทือกเขาสัมฤทธิ์ ‘เซวี่ยอวี้’

เซวี่ยอวี้แสดงสีหน้าอยากรู้อยากเห็นในขณะที่เขาเอ่ย “ไม่มีอะไร แค่ข้าเห็นคิ้วของพี่ใหญ่หยวนขมวดมุ่น ดูเหมือนว่า… เจ้าจะมีเรื่องหนักใจสินะ?”

“ฮึ่ม! ข้าจะมีภาระอะไรในใจ? เจ้าเป็นผู้ที่แปลกจริง ๆ!” หยวนถงบ่นอย่างเย็นชา จากนั้นก็หันหลังจากไป ทว่าหัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความวิตก

เมื่อสามเดือนก่อน เขาเดินทางมายังหุบเขาจันทราโหยหวนตามคำเชิญของราชาอีกาทมิฬจ้านเฟิง และก็สังเกตเห็นว่านอกจากเขาแล้วยังมีราชาเหยี่ยวสายฟ้าแห่งเทือกเขาสัมฤทธิ์ ราชามังกรทมิฬแห่งทะเลสาบแสงจันทร์ และราชาอสรพิษอินทนิลแห่งพงไพรอัสดงอยู่ที่นั่นมานานแล้ว

หลังจากนั้นเขาก็พบว่าราชาอีกาทมิฬได้พบกับกลุ่มผู้บ่มเพาะมนุษย์จริง ๆ ผู้บ่มเพาะเหล่านี้กระจัดกระจายไปทั่วส่วนลึกของเทือกเขา คนเหล่านั้นล้วนมีการบ่มเพาะในขอบเขตตำหนักอินทนิล ราชาอีกาทมิฬจึงเชิญพวกเขามาเพื่อร่วมมือกันจับผู้บ่มเพาะมนุษย์เหล่านี้ และกลั่นพวกมนุษย์ให้เป็นหม้อของ ‘ยาลาภวิญญาณโลหิต’!

ยาลาภวิญญาณโลหิตมีผลมหัศจรรย์ เมื่อกลืนเข้าไปแล้วสามารถเพิ่มโอกาสของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลที่จะเข้าสู่ขอบเขตเคหาทองคำได้ มันเป็นเม็ดยาที่ล้ำค่ายิ่ง ตราบใดที่พวกเขาตกลงจับผู้บ่มเพาะที่เป็นมนุษย์เหล่านี้ร่วมกับราชาอีกาทมิฬ เมื่อยาลาภวิญญาณโลหิตสำเร็จเมื่อไร พวกเขาก็จะได้รับส่วนหนึ่งของเม็ดยา

เมื่อเผชิญกับสิ่งล่อใจดังกล่าว ราชาอสูรทั้งสี่รวมทั้งหยวนถงก็เห็นด้วย พวกเขาใช้เวลาสามเดือน แต่ก็จับผู้บ่มเพาะมนุษย์ได้เพียงแปดคนเท่านั้น และยังขาดผู้บ่มเพาะมนุษย์คนสุดท้ายก่อนที่พวกเขาจะเริ่มกลั่นยาลาภวิญญาณโลหิต พวกเขาค้นหาอย่างขมขื่นมาหลายวัน แต่ก็ยังไม่พบแม้แต่คนเดียว

แผนการปรับแต่งเม็ดยากำลังเผชิญกับทางตัน แต่หยวนถงกลับนึกถึงเฉินซีแทน เพื่อประโยชน์มหาศาลของกระบี่ไผ่ทองคำนิลซึ่งอยู่ในความครอบครองของเฉินซี เขาจึงไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยเรื่องนี้กับราชาอสูรตนอื่น แต่เขาได้วางแผนที่จะไปคนเดียวและยึดกระบี่เล่มนั้นไว้เอง ก่อนที่จะจับเฉินซีส่งไปหาราชาอีกาทมิฬ ทว่าไม่คาดคิดเลยว่าราชาเหยี่ยวสายฟ้าดูเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างและตามเขามาอย่างโจ่งแจ้ง…

“พี่ใหญ่หยวนรอข้าด้วย” เซวี่ยอวี้ไล่ตามเขาอีกครั้ง รอยยิ้มจอมปลอมปรากฏบนใบหน้าของเขาก่อนที่จะพูดว่า “วันนี้น้องชายผู้นี้ของท่านว่างและไม่มีอะไรทำ ดังนั้นข้าจะขอไปพักที่บ้านพี่ใหญ่หยวนสักสองวันได้หรือไม่”

ความโกรธฉายบนใบหน้าของหยวนถง เขาสูดหายใจเข้าลึกและพูดอย่างเย็นชาว่า “เซวี่ยอวี้ ถ้าเจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมา อย่าได้อ้อมค้อมแบบนี้!”

เซวี่ยอวี้ถูฝ่ามือเข้าหากันและหัวเราะเสียงดัง “ยอดเยี่ยม! เนื่องจากพี่ใหญ่หยวนได้กล่าวอย่างนี้แล้วน้องชายก็จะตรงไปตรงมา ข้าได้ยินมาว่ายังมีผู้บ่มเพาะแห่งเผ่ามนุษย์ซ่อนอยู่ในเทือกเขาวงจันทรา ข้าสงสัยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่”

“เจ้า…” หัวใจของหยวนถงเต้นแรงเพราะโทสะ “เจ้ามีสายอยู่ในอาณาเขตของข้าใช่ไหม!”

เซวี่ยอวี้หัวเราะและตอบคำถาม “พี่ใหญ่หยวน เจ้าก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”

ใบหน้าของหยวนถงแข็งค้างจนพูดไม่ออก อาณาเขตของเขาอยู่ติดกับอาณาเขตของเซวี่ยอวี้ เพื่อเป็นการเฝ้าระวังซึ่งกันและกันไม่ให้อีกฝ่ายเข้าโจมตีอาณาเขต พวกเขาจึงได้ส่งสายลับเข้าไปอยู่ในอาณาเขตของกันและกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทั้งคู่รู้อยู่แล้ว

“พี่ใหญ่หยวนอย่าคิดมาก ข้าไม่มีความตั้งใจที่จะแย่งชิงมนุษย์ผู้นั้นกับท่านอย่างแน่นอน ตอนนี้ยาลาภวิญญาณโลหิตขาดผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลเพียงคนเดียวเพื่อให้หลอมออกมาได้สำเร็จ หากเราสองคนจับคนคนนี้ไปให้ราชาอีกาทมิฬ มันจะเป็นผลงานที่ใหญ่ยิ่ง เมื่อเม็ดยาเสร็จสมบูรณ์เราทั้งคู่ก็น่าจะได้ส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นอีกหน่อยใช่หรือไม่?”

“ก็ได้ ข้าตกลง แต่หลังจากที่เราจับเด็กคนนั้นได้ ทรัพย์สินทั้งหมดของเขาต้องเป็นของข้า ไม่เช่นนั้นก็อย่าหารือเรื่องนี้กันอีกต่อไป!” การแสดงออกของหยวนถงมืดมนนัก แต่เขาก็ยังถอนหายใจด้วยความโล่งอก

‘ตราบใดที่ไอ้เหยี่ยวตัวนี้ไม่ได้หมายปองกระบี่ไผ่ทองคำนิลของข้า ไอ้มนุษย์ผู้นั้นมันจะเป็นอย่างไรก็ช่างจริงหรือไม่?’

“พี่ใหญ่หยวนตรงไปตรงมาตามที่คาดไว้!” เซวี่ยอวี้หัวเราะอย่างเต็มที่ “มีน้องชายคอยช่วยอยู่ข้าง ๆ เด็กคนนั้นจะไม่ถูกจับง่าย ๆ หรอกหรือ?”

“ฮึ่ม! ก่อนที่เราจะจับเด็กคนนั้น ข้ายังมีเรื่องต้องดูแล อยากไปด้วยหรือไม่” สายตาของหยวนถงสั่นไหวและเผยให้เห็นความเกลียดชัง

“แน่นอน!” เซวี่ยอวี้ตอบอย่างง่ายดาย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]