ที่ด้านข้างของเทือกเขาวงจันทรา
มู่ขุยผู้ที่คิดจะหลบหนี เมื่อได้เห็นการต่อสู้กลางอากาศ เขาก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แม้แต่ก้าวเดียวนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
‘ผู้อาวุโสเฉินซี เขา…ช่างน่าเกรงขามเหลือเกิน!’
นัยน์ตาพราวระยับของมู่ขุยวูบไหวเป็นระลอก ราชาวานรทมิฬนั้นฝึกบ่มเพาะถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสี่แล้ว การบ่มเพาะของวานรตนนี้อาจกล่าวได้ว่าทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้ ซึ่งเป็นเหตุผลง่าย ๆ ที่ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในเจ็ดราชาอสูรผู้ยิ่งใหญ่
ทว่าตอนนี้ราชาวานรทมิฬกลับถูกเฉินซีสะกดข่มจนสิ้นท่า!
“ผู้อาวุโสเฉินซีเพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเพียงไม่กี่เดือนก่อนเท่านั้นเอง!” มู่ขุยพึมพำกับตนเองด้วยความตื่นเต้น
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ยามนี้เฉินซีเคลื่อนไหวว่องไวปานกระแสลม ส่งผลให้กระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือของชายหนุ่มรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม จนในที่สุดก็เกินจุดที่สายตาคนสามารถจับภาพได้ทันประหนึ่งกระแสน้ำมีขึ้นและลง การโจมตีนั้นทิ้งรอยแผลที่เกิดจากคมกระบี่ไว้บนร่างของราชาวานรทมิฬที่ตอนนี้ปรากฏโลหิตแดงฉานไหลซึมออกมาเป็นจำนวนมาก
ชั่วขณะนั้นดูเหมือนว่าเฉินซีจะหวนกลับสู่ช่วงเวลาที่ตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนด้วยความขุ่นเคืองใจอยู่ท่ามกลางทะเลป่าไผ่ ชายหนุ่มขบกรามกัดฟันแน่นขณะฝึกฝนอย่างหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่า ภายใต้เสียงกระตุ้นของจี้อวี๋ซึ่งพูดซ้ำไปซ้ำมาว่า ‘ใช้ไม่ได้!’ และจะหยุดลงก็ต่อเมื่อพละกำลังเฮือกสุดท้ายได้เหือดหายไปจากร่างกายแล้ว การฝึกทั้งหมดนั้นเพื่อจะได้ไปกลับออกจากทะเลป่าไผ่ในเวลาไม่ถึงสิบลมหายใจ
โดยไม่สัมผัสก้านใบไผ่แม้เสี้ยวเดียว ด้วยเงื่อนไขที่แสนยากนี้เอง จึงทำให้เวลานี้เขาเกิดความชำนาญและสามารถหลบเลี่ยงกระบองเหล็กของราชาวานรทมิฬได้อย่างง่ายดาย เหมือนกำลังเดินเล่นชมสวนอย่างสบายอารมณ์ทว่ารวดเร็วดั่งสายลม
ในขณะเดียวกัน เมื่อรวมทักษะกระบี่ที่เขาสั่งสมผ่านการต่อสู้เป็นตายมาทีละเล็กทีละน้อยกับการรู้แจ้งแห่งวายุ จึงส่งให้พลังกระบี่ยิ่งเร็วและรุนแรงขึ้นอีก…
‘ผู้อาวุโสจี้อวี๋กล่าวถูกต้องแล้ว ความแตกต่างในพลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั้งหลายไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับขั้นดาราไปเสียทั้งหมด การรู้แจ้งในเต๋าแห่งการต่อสู้นั้นมีส่วนทำให้แข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายได้อย่างสำคัญเช่นกัน…’ ชายหนุ่มเริ่มความเข้าใจขึ้นทันที และผลงานการต่อสู้ของเฉินซีก็ดีขึ้นตามความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นด้วย
ราชาวานรทมิฬถูกรุกหนักขึ้น ไม่ว่าเขาจะเหวี่ยงกระบองเหล็กไปทางใดกลับไม่สามารถฟาดไปโดนเฉินซีเลย เรียกว่าไม่ได้สัมผัสกระทั่งชายเสื้อของเฉินซีด้วยซ้ำ แต่กลับเป็นมันเองที่โดนคมกระบี่ของอีกฝ่ายจนโลหิตไหลอาบ แม้บาดแผลเหล่านั้นจะสามารถสมานได้เองอย่างรวดเร็วจนไร้ร่องรอยก็ตามที แต่เขาก็ทำได้เพียงป้องกันจุดอ่อนบนร่างกายเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ส่วนจุดที่ถูกกระทำโดยไม่ได้ตอบโต้ทำให้เขาถึงกับโกรธสุดขีด!
“บัดซบ! บัดซบ! บัดซบ!!!” เวลานี้ราชาวานรทมิฬกำลังคลุ้มคลั่ง ความสูงใหญ่ของมันทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วเกือบสามจั้ง ผิวหนังบนร่างกายถูกปกคลุมด้วยขนสีดำขลับ กล้ามเนื้อพองนูนขึ้นมาราวก้อนหิน ดวงตาแดงก่ำขณะเดียวกันเขี้ยวยาวแหลมคมงอกออกจากปาก
ยามนี้ราชาวานรทมิฬแปลงร่างกลับไปเป็นร่างอสูรเดิมของมัน ขณะที่พลังร้ายกาจผสานกับปราณอสูรจนเกิดเป็นเสียงระเบิดดังเปรี้ยงสนั่นแผ่กระจาย
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
กระบองเหล็กของราชาวานรทมิฬปรากฏลำแสงแดงฉานพุ่งออกมา แสงสีแดงเข้มเจิดจ้าจนดูราวกับว่ามีวิญญาณอาฆาตกำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่ข้างใน เมื่อมันทะยานขึ้นไปในอากาศ พลังนั้นทั้งรุนแรงและโหดเหี้ยมทำให้ราชาอสูรยิ่งแลดูน่าเกรงขามเป็นอีกนับสิบเท่า
“ราชาอสูรกำลังโมโหสุดขีด! นับเป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้เห็นเขากลับคืนร่างอสูรแบบนี้และยังเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นกระบองอาฆาตอสูรโลหิตเปล่งอำนาจถึงขนาดนั้นด้วย!”
“ไอ้มนุษย์โสโครกนั่นน่าชิงชังสิ้นดี มันรู้แต่วิธีหลบหลีกเท่านั้น ถ้าราชาอสูรไม่ใช้ไม้ตาย มันต้องคงคิดว่าราชาอสูรเกรงกลัวมันแน่!”
“ฮ่า ๆ! มันตายแน่!”
เมื่อเหล่าสัตว์อสูรเห็นราชาวานรทมิฬแสดงพลังอย่างเต็มที่ ความกังวลใจที่เคยมีพลันหายหมดสิ้น และพวกเขาก็เริ่มพากันไชโยโห่ร้องกันอย่างอึกทึกอีกครั้ง
‘เจ้าวานรเฒ่ากำลังตกอยู่ในความคลุ้มคลั่ง พลังของมันจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสามในสิบส่วน ไหนจะกระบองเหล็กอาฆาตอสูรโลหิตนั่นอีก มันเป็นกระบองที่หลอมสร้างมาจากวิญญาณอาฆาตของเหล่าสัตว์อสูรที่ตายไปพร้อมกับความเคียดแค้น แม้ว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะสำเร็จทักษะกระบี่ขั้นเต๋ารู้แจ้งอันทรงพลัง แต่พลังบ่มเพาะในตัวก็ยังเทียบไม่ได้กับเจ้าวานรเฒ่าอย่างสิ้นเชิง ซึ่งน่าจะรอดได้ยากจริงไหม?’
เซวี่ยอวี้ ราชาเหยี่ยวสายฟ้าใช้มือลูบคางพลางครุ่นคิดเงียบ ๆ และลอบถอนใจด้วยความโล่งอก ฝีมือของเฉินซีนับว่าเกินความคาดหมายของเขาไปมาก ทั้งกระบี่ไผ่ทองคำนิลเล่มนั้น ทักษะการเคลื่อนไหว รวมทั้งทักษะกระบี่ขั้นเต๋ารู้แจ้งล้วนทำให้ชายหนุ่มเป็นคนที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
เซวี่ยอวี้หรือราชาเหยี่ยวสายฟ้า เขาคืออสูรเหยี่ยวเหล็กทองคำซึ่งโดดเด่นในด้านความเร็ว ในกายมีพลังอัสนีแฝงมาตั้งแต่เกิด แม้ว่าระดับบ่มเพาะของเขาจะสูงกว่าเฉินซีมากก็ตาม แต่ถ้าประมือต่อสู้กัน นอกจากความเร็วของเขาที่เหนือกว่าอีกฝ่ายแล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังสู้มนุษย์หนุ่มไม่ได้
ผสานทักษะเข้ากับพลังอัสนีอย่างนั้นหรือ
เฉินซีมีกระบี่ไผ่ทองคำนิลที่ไม่เคยครั่นคร้ามต่อสายฟ้ามาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งกว่านั้นถ้าใช้ถูกที่ถูกเวลา มันยังสามารถดูดซับสายฟ้าได้อีกด้วย!
อย่างไรเสีย เซวี่ยอวี้ก็อยู่มานานนับพันปี และเขาก็ได้ครอบครองสมบัติวิเศษซึ่งใช้เป็นไพ่ตายอยู่หลายชิ้น ดังนั้นหากต้องลงมือต่อสู้กันจริง เขาก็ไม่ได้หวาดกลัวเฉินซีเช่นกัน
“ตายแน่!” เซวี่ยอวี้คิดฟุ้งซ่าน ขณะนั้นราชาวานรทมิฬได้เหวี่ยงกระบองเหล็กในมือออกไปอย่างแรง
ครืน!
แสงสีแดงฉานกระจายวาบพร้อมระเบิดดังเปรี้ยง ประหนึ่งสายน้ำโลหิตไหลบ่า เสียงคำรามดังกระหึ่มราวกับจะเขมือบทุกสิ่งมุ่งไปยังเฉินซี
วู้ววววว…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...
ลงวันละหลายตอนใต้ใหม่ครับ...
ไม่ลงต่อแล้วหรือครับ ผมยังรออยู่นะครับ...