บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 710

บทที่ 710 หอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่า

บทที่ 710 หอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่า

หญิงสาวนางนี้งดงาม ผิวพรรณขาวกระจ่างดั่งหิมะ แม้แต่เชือกสีแดงที่ผูกข้อเท้าก็ถูกขับเน้นจนโดดเด่นจับตา นางมีรูปร่างสูงสง่าดั่งเทพธิดาผู้สถิตในแดนเซียน

และดูเหมือนว่า… รัศมีที่เปล่งประกายบนตัวนางจะกลบหญิงสาวคนอื่น ๆ ที่อยู่เคียงใกล้ให้มัวหมองไปจนหมด

สายตามากมายต่างจับจ้องมาที่นาง พวกเขาลังเลครู่หนึ่งว่าควรจะเบนสายตาหลบเลี่ยงเรือนร่างนางดีหรือไม่ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่อาจควบคุมความปรารถนา และยังคงจับจ้องต่อไป

“แม่นางซู?” เฉินซีจำได้ทันที นางคือซูชิงเยียนแห่งราชวงศ์ต้าฮั่น และชายหนุ่มเองก็เคยพบปะนางอยู่หลายครั้งเมื่อตอนที่อยู่ในสมรภูมิบรรพกาล

“ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบกับเจ้าที่นี่” ซูชิงเยียนที่กำลังเดินอยู่ พลันหยุดเคลื่อนไหว ดวงตาของนางทอประกายเจิดจ้ายามทอดมองยังเฉินซี

หงซานที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักพลันชะงักไป ด้วยเขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น

เขาอาศัยอยู่ในเมืองหลีหั่วมาทั้งชีวิต ดังนั้นมีหรือจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของซูชิงเยียน ทั้งชื่อและรูปโฉมที่งดงามปานล่มเมืองเช่นนี้ จะมีใครบ้างในเมืองหลีหั่วที่ไม่ล่วงรู้!

สิ่งนี้ทำให้หงซานอดคิดไม่ได้ว่า ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ตนนั้นมีบางอย่างเก็บงำไว้

“ท่านหญิงมาทำอะไรที่นี่กัน?” เฉินซีประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากการได้พบเจอคนรู้จักเมื่อครั้งเก่าก่อนทำให้เขารู้สึกสุขใจ

“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่านิกายของข้าตั้งอยู่ที่นี่” ซูชิงเยียนจีบปากขณะที่นางคลี่ยิ้ม ดวงตาของหญิงสาวสดใส รับกับรูปลักษณ์ชวนเสน่หา นางมีเส้นผมยาวสลวยประหนึ่งเส้นไหม ฝ่าเท้าทั้งสองเรียวยาวขาวสะอาด ก่อให้เกิดความงามที่ชี้ชวนให้หวิวใจไม่น้อย

“ตำหนักสำนึกสวรรค์!” เฉินซีนึกออกแล้ว เขาจำได้แล้วว่าหญิงสาวเข้าร่วมตำหนักแห่งนี้เมื่อครั้งอยู่ในสมรภูมิบรรพกาล ทั้งที่เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปี ทว่าเขากลับรู้สึกเหมือนยาวนานยิ่งนัก

ขณะที่คนทั้งสองกำลังสนทนา กลุ่มหญิงสาวที่มาพร้อมซูชิงเยียนก็เดินเข้ามาในวงสนทนา พวกนางจับจ้องไปยังเฉินซี พลางมองไปทางกลุ่มคนในชุดหนังสัตว์ที่อยู่ข้างหลังชายหนุ่มด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

หญิงสาวบางคนถึงกับขมวดคิ้วด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์ เห็นได้ชัดว่าพวกนางนึกรังเกียจคนที่มีสถานะต่ำต้อยและสวมเสื้อผ้าสกปรกอย่างเหมิงเหวยและคนอื่น ๆ

“เฉินซี ข้าลืมแนะนำไปเลย พวกนางเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องของข้า และข้าได้รับคำสั่งจากนิกายให้มาที่เมืองหลีหั่วเพื่อช่วยผู้อาวุโสเฟ้นหาศิษย์คนใหม่ แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้พบเจ้าอีก ช่างบังเอิญเสียจริง”

ซูชิงเยียนไม่ได้สังเกตเห็นปฏิกิริยาของกลุ่มคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง นางยังคงแนะนำบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องให้ชายหนุ่มทำความรู้จักอย่างเป็นมิตร

หากทว่ายังไม่ทันที่นางจะได้แนะนำเฉินซีให้คนอื่น ๆ ได้รู้จัก หญิงสาวนางหนึ่งก็โพล่งขึ้นขัดจัดหวะเสียก่อน “ศิษย์พี่หญิง เวลามีไม่มากแล้ว พวกเราควรไปพบกับท่านผู้อาวุโสเสียก่อนนะเจ้าคะ”

“จริงสิ ข้าเพิ่งได้ข่าวว่าอาจารย์ลุงกำลังหัวเสียหนัก ดังนั้นคงจะเป็นการดีกว่าหากพวกเรารีบไปทำภารกิจให้ลุล่วง” หญิงสาวอีกนางกล่าวเสริม

คำพูดพวกนี้ทำให้หญิงสาวสับสนเล็กน้อย ด้วยนางไม่เคยได้ยินเรื่องดังกล่าวมาก่อน

นางจึงกวาดสายตามองหญิงสาวเหล่านั้น ก่อนพลันสังเกตเห็นว่าพวกนางไม่ได้แยแสเฉินซีแม้แต่น้อย อีกทั้งยังจ้องมองสหายของเฉินซีอย่างเหยียดหยาม ไม่แม้จะปกปิดความรังเกียจในใจ จึงทำให้ซูชิงเยียนเข้าใจในทันที

แต่ถึงแม้จะเข้าใจ ก็ไม่ได้แปลว่าหญิงสาวจะไม่รู้สึกเคืองขัด เฉินซีเป็นสหายของนางแท้ ๆ ทว่าศิษย์พี่ศิษย์ศิษย์น้องเหล่านี้กลับไม่เพียงไม่รับไมตรีเท่านั้น แต่ยังแสดงท่าทีรังเกียจออกมาอย่างชัดเจน นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรือ?

เดิมทีนางต้องการแนะนำเฉินซีให้พวกนางได้รู้จัก แต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้หญิงสาวล้มเลิกความคิดนั้น นางหันกลับไปมองชายหนุ่ม ก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ทำไมเราไม่เข้าไปในเมืองด้วยกันเล่า?”

เฉินซีชำเลืองสายตาไปด้านหลังของซูชิงเยียน จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ไม่เป็นไร เจ้าไปเถอะ เอาไว้เจ้าสะดวกเมื่อไรค่อยว่ากัน”

“ได้สิ เจ้าคอยข้าอยู่ในเมืองหลีหั่วอีกสักวันสองวันได้หรือไม่ เมื่อข้าทำงานเสร็จแล้ว จะรีบไปพบเจ้าโดยเร็ว” รอยยิ้มของซูชิงเยียนเจิดจ้า หลังจากนั้นไม่นานนางก็จากไปพร้อมบรรดาหญิงสาวที่มาด้วยกัน

เฉินซีมองแผ่นหลังที่ลับสายตาไป ก่อนจะเอี้ยวตัวไปทางเหมิงเหวย “ไปกันเถอะ พวกเราก็จะเข้าเมืองเช่นกัน”

“น้องเฉินซี พวกข้าได้ไปรบกวนการสนทนาเมื่อครู่ของเจ้าหรือไม่” เหมิงเหวยพูดขึ้น เขาสังเกตท่าทีของซูชิงเยียนและบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางตลอดการสนทนา ดังนั้นมีหรือที่เขาจะมองไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร

แต่ถึงอย่างนั้น เขาหาได้แยแสว่าใครจะมองพวกเขาแบบไหน เพียงแต่รู้สึกแย่ที่คอยสร้างปัญหาและความอับอายให้แก่เฉินซี

ทว่าสีหน้าของชายหนุ่มกลับเคร่งขรึมขึ้นมา และตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “พี่ใหญ่เหมิงเหวย ในเมื่อพี่ใหญ่เห็นข้าเป็นน้อง เช่นนั้นก็อย่าได้พูดแบบนี้อีกเลย”

เหมิงเหวยพยักหน้าพลางระเบิดหัวเราะ “ได้!”

เมืองหลีหั่วเป็นเมืองที่ใหญ่โต มั่งคั่ง และมีเส้นทางที่กว้างใหญ่ทอดยาวไปทั่ว ร้านค้ามากมายตั้งเรียงรายตลอดเส้นทาง เชื้อเชิญให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เป็นบรรยากาศที่คึกคักไม่น้อย

หลังจากเข้ามาภายในเมือง ด้วยการแต่งตัวที่แปลกตาของเหมิงเหวยและคนอื่น ๆ จากเผ่านรกขุมที่เก้า มันจึงดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย ทำให้เกิดเสียงกระซิบกระซาบเกี่ยวกับพวกเขาดังตลอดทางที่เดินไป และแม้ว่าพวกเขาจะไม่ตอบโต้หรือแสดงท่าทีใดออกมา ทว่าเฉินซีก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกแย่ในใจของพวกเขา

ก่อนที่ในจังหวะนั้น ชายหนุ่มจะพูดบางอย่างกับหงซาน ซึ่งทำให้อีกฝ่ายประหลาดใจไม่น้อย ทว่าไม่นานเจ้าตัวก็เข้าใจถึงความนัยของมัน ดังนั้นหงซานจึงเดินนำทางกลุ่มของเฉินซีไปยังหออันโอ่อ่าแห่งหนึ่ง

สถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นจากแผ่นหยกสีม่วงเหลือบเงินทั้งหลัง มันเป็นอาคารที่มีความโปร่งและนวลตาไปด้วยแสงสีม่วงสลัว ขณะที่รอบ ๆ หอต่างประดับด้วยโคมไฟผลึกแก้วที่ห้อยระย้าจากชายหลังคา พวกมันสาดแสงไฟหลากสีให้พราวระยับไปทั่วทั้งบริเวณ ทำให้ที่แห่งนี้ดูราวกับดินแดนในฝัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]