บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 75

บทที่ 75 ชี้กระบี่ไปยังหุบเขาจันทราโหยหวน
บทที่ 75 ชี้กระบี่ไปยังหุบเขาจันทราโหยหวน

หลังจากที่ลงมือฆ่าไฉ่เล่อเทียนและอวี้ฮ่าวไป๋ เฉินซีก็หยุดพักผ่อนครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกลับไปที่เทือกเขาวงจันทรา

‘ราชาอีกาทมิฬปรารถนาที่จะกลั่นเม็ดยาโดยใช้ตู้ชิงซีและคนอื่น ๆ เป็นวัตถุดิบ แม้ว่าในตอนนี้พวกเขาจะยังคงมีชีวิตอยู่ แต่สถานการณ์ของพวกเขาก็นับว่าอันตรายอย่างยิ่งและอาจตายได้ทุกเมื่อ… ดูเหมือนว่าข้าต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด’ เฉินซีครุ่นคิดตลอดทางที่กลับมายังขุนเขาวงจันทราโดยใช้เวลาไม่นาน

ภายในที่พำนัก เมื่อมู่ขุยเห็นเฉินซีกลับมาถึง เขาก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งและกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ท่านผู้อาวุโส ในที่สุดท่านก็กลับมา! ข้าผู้ต่ำต้อยกังวลถึงท่านเหลือเกิน!”

“เจ้ายังจะกังวลถึงสิ่งใดอีก? ข้าได้สังหารราชาเหยี่ยวสายฟ้าไปแล้ว ที่นี่คงจะสงบสุขไปอีกสักระยะ” เฉินซีนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะพลางเอ่ยขึ้น “ข้าต้องการฟื้นฟูความแข็งแกร่ง จงเฝ้าระวังให้ข้าไว้”

“ผู้อาวุโส โปรดบ่มเพาะตามสบายเถิด ข้าผู้ต่ำต้อยคนนี้จะออกไปเฝ้าระวังเอง”

ฟิ้ว!

มู่ขุยรีบออกจากที่พำนักด้วยอารมณ์ที่พวยพุ่งจนแทบจะอ้าปากค้าง ผู้อาวุโสเฉินซีฆ่าราชาเหยี่ยวสายฟ้าไปแล้ว?

‘เมื่อข้าต่อสู้กับราชาวานรทมิฬ ข้อได้เปรียบของข้าคือความเชี่ยวชาญในทักษะยุทธ์ที่เหนือล้ำกว่าเขา แต่การบ่มเพาะของข้าก็ยังด้อยกว่าเขานัก หากไม่ใช่เพราะกระบี่ไผ่ทองคำนิลที่ข้าครอบครองสามารถตอบโต้วิญญาณพยาบาทเหล่านั้นได้ ข้าเกรงว่าผลของการต่อสู้คงคาดเดาได้ยากยิ่ง’

‘การบ่มเพาะของราชาเหยี่ยวสายฟ้านั้นเหนือล้ำกว่าราชาวานรทมิฬก็จริง แต่น่าเสียดายที่เขาหมกมุ่นในอุบายมากเกินไป เขาต้องการใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบโดยขาดความกล้าในการเผชิญหน้า แม้ว่าเขาจะวางค่ายกลพันพญาเหยี่ยวและมีมหาเทือกเขาสัมฤทธิ์อยู่ในครอบครอง ภายใต้การลอบโจมตีที่ไม่ทันตั้งตัวของวิชารัศมีไร้ร่องรอยของข้า พวกมันหามีประโยชน์อันใด ดังนั้นจึงพ่ายแพ้ไปอย่างไม่ต้องสงสัย’

‘อย่างไรก็ตาม หากข้าสามารถสร้างค่ายกลกระบี่ที่เลิศล้ำด้วยกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มได้ ต่อให้ข้าจะไม่ลอบจู่โจมราชาเหยี่ยวสายฟ้าแบบไม่ทันตั้งตัว ข้าก็ยังสามารถจัดการกับมันได้อย่างไม่ยากลำบาก’

เฉินซีนั่งสมาธิอยู่บนเบาะนั่งสมาธิและคิดทบทวนเกี่ยวกับการต่อสู้ทั้งสองครั้งที่เกิดขึ้นในวันนี้และร่องรอยของความเข้าใจก็เกิดขึ้นในใจของเขา

การต่อสู้จริงเป็นหินลับคมที่ขัดเกลาการฝึกฝนของผู้บ่มเพาะได้ดีที่สุด

ยิ่งอันตรายมากเท่าไร ผลตอบแทนที่ได้ก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคนต่างผ่านประสบการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนับไม่ถ้วน ผ่านการต่อสู้ที่อับจนหนทางและต้องต่อสู้เสี่ยงชีวิตเพื่อชัยชนะเพียงเท่านั้น จึงจะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

การฆ่าราชาวานรทมิฬและราชาเหยี่ยวสายฟ้าติดต่อกัน ทำให้เฉินซีรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของตัวเองได้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกันเขายังสังเกตเห็นถึงข้อบกพร่องอีกด้วย นั่นก็คือระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันของเขายังคงต่ำเกินไป

หากเขาต้องเผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะที่เชี่ยวชาญทักษะยุทธ์เท่ากันก็คงทำได้แต่ต้องหลบหนีเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น หากเฉินซีต้องการแก้ไขข้อบกพร่องนี้ นอกเหนือจากการบ่มเพาะขัดเกลาลมปราณอย่างหมั่นเพียรและยากลำบากแล้ว การเรียนรู้วิธีการโจมตีที่ทรงอานุภาพก็นับเป็นอีกวิธีหนึ่งเช่นกัน

‘กระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มล้วนเป็นศัสตราวิเศษระดับปฐพีขั้นสูงสุด ดูเหมือนว่าข้าจะต้องไตร่ตรองเต๋าแห่งค่ายกลยันต์อักขระยามที่ข้ามีเวลา ถ้าสามารถเข้าใจทักษะในการวางค่ายกลกระบี่ ความแข็งแกร่งของข้าก็จะยกระดับขึ้นไปอีก’

เฉินซีครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานจึงค่อยส่ายศีรษะละทิ้งความคิดที่วอกแวกทั้งหมดของเขาก่อนที่จะเริ่มบ่มเพาะต่อไป

อึก! อึก!

วารีวิญญาณภายในขวดบรรจุทรงแปดเหลี่ยมถูกเฉินซีกระดกกลืนเข้าไปและไหลเข้าสู่ภายในพื้นที่อันไร้ขอบเขตของตำหนักอินทนิลของเขา

เฉินซีได้โคจรเคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์ควบคู่ไปด้วย กระแสปราณแท้ที่ใสราวกับธารสวรรค์ไหลรินสู่ทะเลสาบของตำหนักอินทนิล เหนือทะเลสาบนั้น ดวงดาราของปราณแท้ที่มืดสลัวค่อย ๆ สว่างขึ้น มันใสราวกับผลึกแก้วและโปร่งแสง อีกทั้งยังเปล่งแสงเย็นจาง ๆ

หลังจากก้าวสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้วทุก ๆ ระดับที่เพิ่มขึ้นจะควบแน่นปราณแท้ให้เป็นดวงดาราภายในตำหนักอินทนิล ดวงดาราของปราณแท้เหล่านี้สอดคล้องกับทะเลสาบ และความสว่างของดวงดาราของปราณแท้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าปราณแท้นั้นบริสุทธิ์เพียงใด

จากนั้น เมื่อหลอมรวมดาราทั้งเก้าเข้าด้วยกันแล้ว พวกมันจะก่อให้เกิดเหตุการณ์อันแปลกประหลาดที่มีดาราทั้งเก้าดวงเชื่อมโยงเข้าหากันอยู่เหนือทะเลสาบของตำหนักอินทนิล ราวกับสะพานโค้งที่สร้างขึ้นในทะเลสาบ เมื่อถึงขั้นนั้น ก็เตรียมพร้อมสำหรับก้าวผ่านไปสู่ขอบเขตเคหาทองคำ

นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลยังสัมพันธ์กับเคล็ดวิชาที่บ่มเพาะอย่างยิ่ง

เคล็ดวิชาบ่มเพาะปราณภายในชั้นยอดสามารถขยายขนาดทะเลสาบของตำหนักอินทนิลได้อย่างมาก ยิ่งทะเลสาบของตำหนักอินทนิลกว้างใหญ่และลึกเพียงใด ปราณแท้ก็จะยิ่งหนาแน่นขึ้นและอานุภาพของปราณแท้ที่แสดงออกมาก็จะยิ่งน่าสะพรึงกลัวทวีคูณ

ปราณแท้ที่กลั่นด้วยเคล็ดวิชาบ่มเพาะปราณภายในทั่วไปนั้นไม่บริสุทธิ์ยามควบแน่น ยิ่งกว่านั้น มันยังสร้างผลกระทบต่อการขยายตัวของทะเลสาบของตำหนักอินทนิลและอานุภาพที่แสดงออกมานั้นจะเป็นเพียงระดับทั่วไป สิ่งสำคัญที่สุดคือเมื่อบ่มเพาะปราณภายในด้วยเคล็ดวิชาระดับทั่วไป เวลาก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้น การรุดหน้าจะเต็มไปด้วยความยากลำบากทำให้ก้าวไปสู่ขอบเขตที่สูงกว่าได้ยากขึ้น

อย่างไรก็ตามการบ่มเพาะเคล็ดวิชาปราณภายในระดับสูงต้องใช้วารีวิญญาณจำนวนมหาศาล ท้ายที่สุดหากทะเลสาบของตำหนักอินทนิลกว้างใหญ่และลึกขึ้นเท่าไร ปราณแท้ที่ต้องถูกกลั่นไปเติมเต็มก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

เคล็ดวิชานกกระเรียนเหมันต์ที่เฉินซีบ่มเพาะอยู่ เป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะปราณภายในที่จี้อวี๋เลือกให้แก่เขา แม้ว่ามันจะบ่มเพาะได้ไปถึงแค่ระดับเก้าดาราของขอบเขตตำหนักอินทนิล แต่ก็ยังถือว่าเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะปราณชั้นยอด ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพหรือปริมาณของปราณแท้ที่บ่มเพาะได้มา ทั้งสองสิ่งก็ยังเหนือกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั่วไป

หนึ่งวันต่อมา

เฉินซีลืมตาตื่นขึ้นจากการบ่มเพาะเนื่องจากวารีวิญญาณราวห้าร้อยจินที่เหลืออยู่ในขวดบรรจุทรงแปดเหลี่ยมได้ถูกกลั่นไปจนหมดสิ้น ในปัจจุบันดวงดาราแห่งปราณแท้ที่อยู่ในพื้นที่ว่างภายในตำหนักอินทนิลของเขานั้นสว่างไสวและแพรวพราวยิ่งนัก ราวกับว่ามันถูกแกะสลักขึ้นจากน้ำแข็งและหยก

วารีวิญญาณ… วารีวิญญาณ… วิถีแห่งการบ่มเพาะไม่อาจหลุดพ้นจากคำว่า ‘ความมั่งคั่ง’ บรรดาศิษย์ของตระกูลและนิกายใหญ่มักจะครอบครองทรัพยากรสำหรับการบ่มเพาะเอาไว้มากมาย ดังนั้นการบ่มเพาะของพวกเขาจึงรุดหน้าเร็วกว่าคนปกติและทิ้งห่างผู้บ่มเพาะพเนจรทั่วไปที่ไม่มีผู้ใดเกื้อหนุนอยู่เบื้องหลัง

‘หากข้าต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองให้รวดเร็วกว่านี้ คงจะต้องรวบรวมวารีวิญญาณให้มากขึ้น…’

การบ่มเพาะมาตลอดหนึ่งวันได้สูญเสียวารีวิญญาณไปถึงห้าร้อยจินแต่กลับรุดหน้าไปเพียงเล็กน้อย ทำให้เฉินซีต้องถอดทอนหายใจด้วยเสียดาย ในวิถีแห่งการบ่มเพาะ ความมั่งคั่ง มิตรสหาย เคล็ดวิชา และสถานที่ มีเพียงสี่คำนี้เท่านั้นที่สำคัญ และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจลบล้างได้นับตั้งแต่สมัยโบราณ

“มู่ขุย!” เฉินซีเดินออกจากถ้ำและร้องเรียก

“มีอะไรหรือขอรับ ท่านผู้อาวุโส” มู่ขุยที่นั่งบ่มเพาะอยู่ใต้ต้นสนรีบลุกขึ้นถามด้วยความเคารพ

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ข้าอยากไปที่หุบเขาจันทราโหยหวนและจะเดินทางไปในทันที หากข้าไม่กลับมาภายในเวลาสามวันจงห้ามรั้งอยู่เด็ดขาด”

มู่ขุยพลันตกตะลึงและกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านผู้อาวุโสต้องการไปฆ่าราชาอีกาทมิฬหรือ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]