บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 784

บทที่ 784 ข้าไม่รู้จักนาง

บทที่ 784 ข้าไม่รู้จักนาง

สวนของตำหนักอ๋องเวินแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก มันถูกปกคลุมด้วยพรมหญ้าสีเขียว ล้อมรอบด้วยทะเลสาบสีฟ้า ทำให้เกิดทิวทัศน์สวยงามยิ่ง

แขกทุกคนที่มาร่วมในงานเลี้ยงวันเกิดครบรอบสิบสี่ปีของอ๋องเวินหัวล้วนมารวมตัวกันที่นี่ โดยไม่เกี่ยวว่าพวกเขาจะมีชื่อเสียงมากเพียงใด จึงอาจกล่าวได้ว่านี่เป็นการชุมนุมของเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ชื่อดัง บรรดาชายหนุ่มและหญิงสาวที่โดดเด่นจากเมืองวารีเมฆา บุคคลที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลทั้งหมดจากทั่วทุกมุมโลก ต่างจับกลุ่มสองสามคนรวมตัวกัน ดื่มกิน พูดคุย และส่งเสียงหัวเราะกัน ภาพทั้งหมดนี้ดูมีชีวิตชีวายิ่ง

หากมองดี ๆ จะพบว่านอกจากบุคคลที่มีชื่อเสียงที่แต่งกายดูดีและโดดเด่นเหล่านี้แล้ว ยังมีคนรับใช้ที่คอยให้บริการพวกเขาอย่างระมัดระวังอยู่ข้าง ๆ

ในขณะเดียวกัน ก็มีบางคนที่มีรูปร่างหน้าตาไม่เป็นที่คุ้นเคยและมาคนเดียว ดังเช่นเฉินซี ที่แม้ว่าจะมีสาวใช้ที่มาสอบถามดูแล พวกเขาก็ยังคงมีท่าทางเฉยเมย

แน่นอนว่าเฉินซีไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ เขาสนใจเพียงว่าเด็กหนุ่มที่มีนามว่าเสิ่นเหยียนข้าง ๆ เขาผู้นี้ เข้ามาในตำหนักอ๋องเวินแห่งนี้ได้อย่างไร?

ชายหนุ่มคนนี้มีผิวคล้ำ ท่าทางหนักแน่น สวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ที่แม้จะซักสะอาดแล้วก็ยังคงแยกออกได้ไม่ยากว่าพวกมันคือเสื้อผ้าที่ใส่มานานหลายปีแล้ว

จากสิ่งนี้เพียงอย่างเดียวก็สามารถพิจารณาได้แล้วว่า ความเป็นอยู่ของอีกฝ่ายคงไม่ค่อยดีนัก

ในงานเลี้ยงครั้งนี้ ผู้คนที่มารวมตัวกันต่างก็มีทั้งบุคคลที่มีชื่อเสียงจากเมืองวารีเมฆา หรือตัวแทนของกองกำลังต่าง ๆ จากทุกสารทิศ พวกเขาทั้งหมดแต่งตัวเหมือนนกยูงรำแพนหาง ที่พยายามทำตนให้งดงามมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ดังนั้นคนที่สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายอย่างเสิ่นเหยียน จึงดูสะดุดตาอย่างมาก

สิ่งสำคัญที่สุดคือ เฉินซีค้นพบว่าเด็กหนุ่มคนนี้จงใจซ่อนตัวอยู่ในเงาด้านหลังเขา ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ ราวกับอีกฝ่ายกลัวจะถูกคนอื่นจับได้

สิ่งนี้ทำให้เขานึกสงสัย และอดไม่ได้ที่จะถาม “เจ้าคือเสิ่นเหยียนหรือ?”

เด็กหนุ่มตกตะลึง ราวกับเขาไม่คาดคิดว่าเฉินซีจะคุยกับตน ก่อนจะผงกศีรษะทันที และลังเลเป็นเวลานาน จากนั้นจึงพูดอย่างระมัดระวัง “นายน้อย ข้าขออยู่ตรงนี้อีกสักครู่หนึ่งได้หรือไม่ขอรับ?”

เฉินซีพยักหน้า “แน่นอน แต่เจ้าควรจะบอกเหตุผลให้ข้าฟังก่อนสักหน่อยไม่ใช่หรือ?” น้ำเสียงอันอ่อนโยนทำให้อีกฝ่ายลดความระมัดระวังลงโดยไม่รู้ตัว

ท่าทางที่เป็นมิตรของเฉินซีทำให้เสิ่นเหยียนรู้สึกสบายใจมากขึ้น เขาเม้มปากและนิ่งเงียบไปนานก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นตอบด้วยเสียงลอดไรฟัน “ข้า…ข้าต้องการใครสักคนมาเป็นอาจารย์!”

ทันทีที่ได้พูดคำเหล่านี้ออกไป เสิ่นเหยียนดูจะรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น คำพูดของเขาเองก็คล่องแคล่วมากขึ้น

“นายน้อย ข้าเป็นเพียงคนรับใช้ในตำหนักอ๋องเวินแห่งนี้ ข้าถูกขายเข้ามาที่ตำหนักนี้ตั้งแต่ยังเด็ก ต้องทนรับความอัปยศอดสูจากการถูกคนรับใช้ผู้ชั่วร้ายคนอื่น ๆ รังแกอยู่เสมอ และไม่มีใครมาช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ข้า ถึงข้าจะรู้สึกโกรธ แต่ก็ไม่เคยโทษฟ้าดินหรือใครอื่น ข้ารู้ว่าหากข้าไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง แม้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น อย่างไรมันก็เป็นแค่ทางออกชั่วคราวเท่านั้น หากข้าอยากจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง ทางเดียวคือข้าต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น!”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หว่างคิ้วของเสิ่นเหยียนก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่

“ตั้งแต่สามปีที่แล้ว ข้าเริ่มเรียนรู้ที่จะอ่านเขียน เฝ้าดูคนอื่นฝึกการต่อสู้และฝึกฝนด้วยตัวเองทุกวัน ไม่เคยหย่อนยาน เพื่อที่สักวันหนึ่งข้าจะได้รับความโปรดปรานจากผู้เยี่ยมยุทธ์และกลายเป็นศิษย์ของเขา เพื่อที่ข้าจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการเป็นทาสอีกต่อไป”

เฉินซียังคงเงียบ เขามั่นใจมากว่าเสิ่นเหยียนคนนี้ไม่ได้โกหก เพราะระดับการบ่มเพาะของเฉินซีในยามนี้ ทำให้ชายหนุ่มสามารถรับรู้ถึงจิตวิญญาณของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน และยังทำให้สามารถตัดสินได้ว่าอีกฝ่ายโกหกหรือไม่

ด้วยเหตุนี้ หลังจากได้ฟังเรื่องราวของเสิ่นเหยียนจบแล้ว ความรู้สึกชื่นชมจึงเกิดขึ้นในใจของเฉินซี

…ประสบกับความอัปยศอดสูมามากมายแต่กลับไม่รู้สึกเคียดแค้น ทนทุกข์ทรมานมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังมีความกล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง นิสัยเช่นนี้ในเด็กอายุเท่าเสิ่นเหยียน มันทั้งสะดุดตาและมีค่ามากกว่าสิ่งที่เรียกว่าพรสวรรค์และคุณสมบัติแต่กำเนิดเหล่านั้นเสียอีก!

“กล่าวแก่นายน้อยตามจริง การมาที่นี่ในครั้งนี้ ข้าค่อนข้างกระวนกระวายใจและประหม่ายิ่ง เพราะข้าได้เสี่ยงทุกอย่างไปแล้ว หากถูกจับได้ ข้าคงจะถูกลงโทษอย่างหนักเป็นแน่ อย่างไรก่อนที่จะแข็งแกร่งขึ้น ข้าก็ยังเป็นแค่คนรับใช้อยู่ และเหตุผลที่ข้าหลบ ๆ ซ่อน ๆ ตัวเองอยู่ข้างหลังนายน้อย ก็เพื่อซ่อนไม่ให้ใครเห็น”

“บางทีสำหรับคนอื่น พวกเขาอาจตอบรับโอกาสนี้อย่างง่าย ๆ สบาย ๆ แต่สำหรับข้า สิ่งนี้หมายถึงทุกอย่าง มันสำคัญมากเสียจนถ้าพลาดปล่อยให้มันหลุดมือไป ข้าคิดว่าข้าคงไม่อาจพบกับโอกาสแบบนี้ได้อีกตลอดชีวิต” เสิ่นเหยียนหัวเราะเยาะตัวเอง จากนั้นเขาก็ตกอยู่ในความเงียบ

ตลอดหลายปีมานี้เขาไม่ค่อยได้พูดกับใครมากนัก และเก็บความยากลำบากทั้งหมดที่ประสบเอาไว้ในหัวใจอย่างเงียบงัน เป็นเวลานานแล้วที่เสิ่นเหยียนไม่ได้เปิดใจหรือระบายมันออกมา ซึ่งหากมองย้อนกลับมาในตอนนี้ มันก็ดูน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ที่ตัวของเสิ่นเหยียนจะพูดเรื่องค้างคาใจมากมายกับคนแปลกหน้าเช่นนี้

ทันใดนั้น ก็ได้เกิดความโกลาหลขึ้นจากที่ไกล ๆ ทำให้ฝูงชนกระสับกระส่ายขึ้นมา

“บุตรสาวของตระกูลใดช่างงดงามยิ่งนัก! ข้าเดินทางไปทั่วสามสิบแปดเมืองและเขตต่าง ๆ มาทั่วทั้งแคว้นหวงเหลียง และเคยพบเห็นความงามทุกรูปแบบ แต่ข้าไม่เคยเห็นสตรีผู้งดงามเช่นนี้มาก่อน!!!”

“ผิวที่บอบบางและงามดั่งหยกธรรมชาติ ราวกับนางสวรรค์นางเซียนจากวังน้ำแข็งที่ลงมายังภพมนุษย์!”

เสียงอุทานแสดงความชื่นชมมากมายดังขึ้น ทำให้สายตาของคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในที่นี้หวั่นไหว แม้แต่แขกผู้หญิงที่โดดเด่นบางคนก็อดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้

หลังจากนั้นพวกเขาก็เห็นหญิงสาวสวยในชุดสีม่วงกำลังก้าวเดินอย่างแผ่วเบา ขาของนางยาวเรียว เอวงามพลิ้วไหวราวกิ่งต้นหลิว คองามระหงส์ ผิวขาวกระจ่างใส รูปร่างหน้าตาก็งดงามประหนึ่งภาพวาด ทุกท่วงท่าที่ไม่ธรรมดาและภาคภูมิของนาง ทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกละอายใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ขณะที่ก้าวเดิน นางก็ดึงดูดสายตาของทุกคนไปตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ต่างก็หันมองมาทางนี้โดยพร้อมเพรียง แม้แต่ผู้อาวุโสที่มีชื่อเสียงบางคนก็ยังมองมาด้วยสายตาที่เป็นประกายและประหลาดใจ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]