บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 8

บทที่ 8 รูปปั้นเทพเจ้าฝูซี*[1]
บทที่ 8 รูปปั้นเทพเจ้าฝูซี*[1]

“ตราประทับกายาอันแท้จริงที่นายท่านของข้าทิ้งไว้ ถูกเรียกว่ารูปปั้นเทพเจ้าฝูซี ภายในรูปปั้นบรรจุไปด้วยความหยั่งรู้ถึงความลับอันมากมายของแก่นแท้แห่งเต๋าของนายท่าน ด้วยการรำลึกและทำความเข้าใจมันอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่จะช่วยให้จิตวิญญาณของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นในแต่ละวันที่ผ่านไป ทว่ายังเป็นประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจแก่นแท้แห่งเต๋าด้วยและที่สำคัญที่สุด เนื่องจากตัวเจ้ามีตราประทับกายาอันแท้จริง เหตุนี้เจ้าจึงสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาการขัดเกลากายาชั้นสูงสุด: เคล็ดวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพได้”

ก่อนที่เฉินซีจะทันได้กล่าว จี้อวี๋ดูเหมือนจะอ่านความคิดของเฉินซีออกแล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “ย้อนกลับไปในยุคบรรพกาล ทุกคนคิดว่านายท่านของข้าได้สังเกตแผนภาพวารีหลากเพื่ออนุมานความหมายอันลึกซึ้งที่อยู่เบื้องหลังวัฏจักรความลับของสรวงสวรรค์ ให้เข้าใจแก่นแท้แห่งพลังเต๋าและขึ้นสู่ขอบเขตสูงสุดของการบ่มเพาะ ดังนั้นจึงไม่อาจมีผู้ใดล่วงรู้ว่าตัวนายท่านนั้นได้บรรลุสู่จุดสูงสุดก่อนที่เขาจะเริ่มสังเกตแผนภาพวารีหลากด้วยซ้ำ ดังนั้นแล้วแค่เพียงเคล็ดวิชาการขัดเกลากายาของเขาอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะสามารถก่อตั้งนิกายของตนเองให้รุ่งโรจน์ไปได้หลายชั่วอายุคน”

“แต่ช่างน่าเสียดายที่นายท่านของข้าได้จากเร็วเกินไปเหลือเกิน และคงเหลือเพียงเคล็ดวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพไว้เพียงเบื้องหลังเท่านั้น”

จี้อวี๋นิ่งเงียบลงหลังจากที่มันกล่าวจบ ดูเหมือนว่ามันจะจมอยู่ในห้วงความทรงจำอันไม่รู้จบ และก็ได้แต่ทอดถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ

เฉินซีค่อย ๆ แยกแยะเรื่องราวที่จี้อวี๋ได้เปิดเผยเมื่อสักครู่ หัวใจของเขาพองขึ้นราวกับคลื่นทะเลซัดสาด ชายหนุ่มลืมเลือนวิธีการพูดไปชั่วขณะ ทันใดนั้นเขาก็นึกสงสัยบางสิ่งจึงได้กล่าวถามว่า “ท่านผู้อาวุโส ข้าได้ยินมาว่า เคหานี้มีสำเนาคัดลอกของแผนภาพวารีหลากถูกซ่อนอยู่ มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

จี้อวี๋ขมวดคิ้วและจ้องมองไปยังเฉินซี จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แปลกหูว่า “แม้แต่ตอนนี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ? นายท่านของข้าได้หลงเหลือตราประทับกายาอันแท้จริงไว้ หลังจากสังเกตแผนภาพวารีหลากเพื่อทำความเข้าใจถึงความลับของสรวงสวรรค์ กล่าวได้ว่าเมื่อตัวเจ้านั้นได้รับตราประทับกายาอันแท้จริง ก็เปรียบเหมือนตัวเจ้าเข้าถึงแก่นแท้ของแผนภาพวารีหลากแล้วไยเล่าถึงต้องดิ้นรนเสาะหาอีก?”

เฉินซีตระหนักได้ในทันใด สำเนาคัดลอกแผนภาพวารีหลากเป็นเพียงแค่ข่าวลือ เศษเสี้ยวแก่นอันแท้จริงของแผนภาพวารีหลากนั้นได้ถูกเก็บซ่อนไว้ภายในตราประทับกายาอันแท้จริงของนายท่านแห่งเคหาบ่มเพาะนี้แล้ว

เฉินซีได้แต่คิดในใจ ‘ในเมื่อตัวข้าได้รับมันมาโดยบังเอิญแล้ว หลังจากนี้ข้าพึ่งพามันเพื่อให้ได้มาซึ่งแผนภาพวารีหลากที่แท้จริงในภายภาคหน้า!’

“เอาล่ะ ข้าบอกเจ้าถึงทุกสิ่งที่ตัวข้าได้รับรู้ไปแล้ว เจ้ายังคงมีคำถามอันใดหรือไม่?” จี้อวี๋ส่ายศีรษะมังกรของมันและมีท่าทีที่เป็นมิตร เห็นได้ชัดว่าตัวมันนั้นยอมรับเฉินซีเป็นผู้สืบทอดที่คู่ควรกับเสื้อคลุมของเจ้านายมันแล้ว

“ข้า…” เฉินซีอ้าปาก แต่ตระหนักได้ว่า มีคำถามมากเกินไปที่จะถาม และไม่รู้ว่าควรเริ่มจากถามคำถามใดก่อนดี?

จี้อวี๋อดไม่ได้ที่จะเริ่มให้คำชี้แนะ “ขณะนี้เจ้ายังอ่อนแออยู่มาก กายเนื้อของเจ้าก็เปราะบาง ข้าคิดว่าคงไม่มีเหตุอันตรายอันใดหากเจ้าจะริเริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพ เมื่อการขัดเกลากายาและปราณภายในจนย่างก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล เจ้าน่าจะสามารถผ่านการทดสอบขั้นที่หนึ่งของบททดสอบสรวงสรรค์เพื่อรับรางวัลที่เหมาะสม ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้นขณะนี้เจ้าอย่าเพิ่งไปใส่ใจให้วุ่นวาย”

เฉินซีกล่าวขึ้นด้วยความตื่นตระหนกว่า “แต่ตัวข้ายังไม่รู้เลยว่าเคล็ดวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพซ่อนอยู่แห่งหนใด ดังนั้นจะบ่มเพาะได้อย่างไร?”

จี้อวี๋ไม่ได้แสดงท่าทีอันใดและกล่าวว่า “ข้าจะมอบให้ก่อนที่เจ้าจะจากไป เจ้ายังคงมีคำถามอันใดหรือไม่? ถ้าไม่มีข้าจะมอบเคล็ดวิชานี้และส่งเจ้าออกไปเสีย”

“ช้าก่อน ท่านผู้อาวุโส” เฉินซีรีบกล่าว “ท่านพูดก่อนหน้านี้ว่า ข้าจะได้รับรางวัลที่เหมาะสมเมื่อตัวข้าสามารถผ่านขั้นที่หนึ่งของบททดสอบสรวงสรรค์ สิ่งนั้นคืออันใดหรือ”

จี้อวี๋ส่ายศีรษะ “ตัวข้านั้นเป็นเพียงวิญญาณพิทักษ์ของเคหาแห่งนี้มิอาจรู้ถึงทุกสิ่งอันใด อย่างไรก็ตาม ข้ารู้อยู่เรื่องหนึ่งว่าเมื่อเจ้าผ่านการทดสอบขั้นที่หนึ่ง กระแสเวลาในนี้กับโลกภายนอกจะแปรเปลี่ยนไม่เท่ากัน เจ้าใช้เวลาฝึกฝนในนี้สามวัน แต่เวลาภายนอกนั้นจะดำเนินไปเพียงแค่หนึ่งวัน ดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการบ่มเพาะแก่ตัวเจ้า”

พลังควบคุมการแปรเปลี่ยนของกาลเวลา?

เฉินซีสูดลมหายใจลึก เรื่องนี้สั่นสะท้านใจของเขาเป็นอย่างมาก ด้วยตัวช่วยที่เลิศล้ำขนาดนี้มันจะทำให้เขามีความสามารถเพียงพอจะท้าทายสวรรค์เลย!

เมื่อได้ลองไตร่ตรอง ฝึกฝนในที่แห่งนี้เป็นเวลาสามวัน เท่ากับเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งวันในโลกภายนอก นั่นไม่เท่ากับว่าข้าได้ฝึกฝนมากกว่าผู้อื่นถึงสองวันเลยหรือ? ถ้าข้าฝึกฝนอยู่ที่นี่ทุกวันนั้นย่อมหมายถึง…?

เมื่อยิ่งไตร่ตรองถึงสิ่งนี้ เฉินซีก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นจนถึงระดับที่เริ่มผวาในใจว่าเขาจะไม่สามารถแบกรับความประหลาดใจอันน่ายินดีเช่นนี้ได้ ตอนนี้เขาอยู่ขั้นที่สามของขอบเขตก่อกำเนิด อีกทั้งตัวเขายังอาศัยอยู่ในเมืองหมอกสนตั้งแต่ยังเยาว์ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่ายังมีสิ่งที่สามารถควบคุมแปรเปลี่ยนกาลเวลาในโลกใบนี้ได้?

“ถ้าเจ้าสามารถผ่านบททดสอบขั้นที่สองของบททดสอบสรวงสรรค์ การอยู่ที่นี่เก้าวันก็เปรียบได้กับหนึ่งวันในโลกภายนอก เมื่อผ่านขั้นที่สามจะถูกขยายเป็นแปดสิบเอ็ดวัน และแน่นอนเมื่อยิ่งผ่านบททดสอบไปได้เรื่อย ๆ รางวัลในภายภาคหน้าก็จะทวีคูณในลักษณะนี้ต่อไป ตราบใดเมื่อเจ้าผ่านไปถึงขั้นที่สิบแปด เจ้าก็จะสามารถฝึกฝนอยู่ที่นี่ได้ตามแต่ต้องการเพราะเวลาสำหรับโลกภายนอกนั้นจะถูกแช่แข็งอย่างสมบูรณ์”

จี้อวี๋กล่าวต่อราวกับว่ามันลืมนึกถึงจิตใจของเฉินซีไปโดยสิ้นเชิง “แต่เจ้าอย่าเพิ่งมีความสุขเร็วเกินไป ระดับที่หนึ่งของบททดสอบสรวงสรรค์นั้นหาได้ผ่านพ้นง่ายดาย ด้วยการบ่มเพาะในปัจจุบันของเจ้า การเข้ารับการทดสอบตอนนี้ก็ไม่ต่างกับรนหาที่ตาย เจ้าควรใส่ใจในการบ่มเพาะและฝึกฝนอย่างหมั่นเพียรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เจ้าทำได้ในภายนี้”

เฉินซีสงบใจลงอย่างรวดเร็วและตระหนักได้ว่า การฝึกฝนร่างกาย และการขัดเกลาปราณภายในจะต้องบรรลุถึงขั้นขอบเขตตำหนักอินทนิลเสียก่อน จึงจะผ่านด่านทดสอบขั้นที่หนึ่งได้ แล้วบททดสอบขั้นที่สองเล่า? จะต้องบ่มเพาะถึงขั้นใดกัน? แม้กระทั่งขั้นที่สามต่อมา ขั้นที่สี่… จนถึงขั้นที่สิบแปด ข้าจะผ่านพ้นมันไปได้อย่างไร? การฝึกฝนที่หนักหน่วงนั้นย่อมได้รับผลตอบแทนที่ดี ถ้าข้าไม่ฝึกฝนอย่างทรหดอดทน และคอยคิดแต่ยืมความแข็งแกร่งจากภายนอก ตัวข้าจะกลายเป็นผู้บ่มเพาะที่แท้จริงได้อย่างไร?

ความปรารถนาและจิตสำนึกที่วอกแวกก่อให้เกิดมารกัดกร่อนภายในใจ ถ้าข้ายังคงคิดที่จะหันไปใช้ทางลัดสำหรับทุกสิ่ง ข้าคงไม่มีวันได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งความเป็นอมตะ!

เมื่อมาถึงจุดนี้ เฉินซีก็ฟื้นคืนสติจากความตะลึงและความตื่นเต้นที่มิอาจอธิบายได้ก่อนหน้านี้ และสังเกตเห็นว่าร่างกายของเขานั้นเปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่ออันเยียบเย็น เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังจี้อวี๋ เขากลับสังเกตเห็นว่ากิเลนตัวนี้กำลังจ้องมองเขาอย่างจดจ่อ ราวกับว่ามันสามารถมองทะลุถึงความคิดทั้งหมดภายในจิตใจของเขาอย่างแจ่มชัด สิ่งนี้ทำให้เฉินซีไม่อาจหยุดยั้งความรู้สึกอันน่าอับอายได้

“นายท่านของข้าเคยกล่าวไว้ว่ามีแต่ผู้ที่มีหัวใจที่ชัดเจนและแน่วแน่จึงจะสามารถรู้แจ้งเกินขอบเขตความเข้าใจของปุถุชนและข้ามไปยังสู่จุดสูงสุดของแก่นแท้แห่งเต๋า เฉินซีเจ้าจงอย่าได้ล้มเหลวต่อความคาดหวังที่นายท่านของข้ามีให้”

จี้อวี๋ก้าวขึ้นไปบนก้อนเมฆอย่างกะทันหัน และตะโกนขึ้นไปยังท้องฟ้าด้วยเสียงที่ราวกับฟ้าผ่าลั่นดังกึกก้องและระเบิดกังวาน ภายในขอบเขตของสวรรค์และโลก เขาหนึ่งอันที่อยู่บนศีรษะของมันได้ชี้ไปยังทิศทางของเฉินซีก่อนที่ประกายแสงห้าสี จะพุ่งเข้าหาเฉินซีอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าและหายลับเมื่อมันเข้าสู่ร่างกายของเขา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]