บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 7

บทที่ 7 จี้อวี๋
บทที่ 7 จี้อวี๋

เฉินซีจมดิ่งอยู่ในห้วงภวังค์อันลึกซึ้ง

เมื่อเข้าสู่สภาวะลืมเลือนตัวตนและสภาพแวดล้อมภายนอก ภายในดวงตาของเขาจึงมีเพียงวิถีโคจรของดวงดาวนับล้านที่หมุนเวียนอย่างไม่สิ้นสุดสะท้อนอยู่

ความยาวและความหนาของวิถีโคจรเหล่านี้แตกต่างกันไป บ้างก็คดเคี้ยวซับซ้อน บ้างก็ตรงราวกับหอก หรือแม้แต่โค้งเว้าดั่งดวงจันทร์ ดูเหมือนขีดเขียนยันต์ด้วยลายเส้นต่าง ๆ

เฉินซีคล้ายกับเห็นมือขนาดยักษ์ที่ใช้ผืนท้องฟ้าเป็นดั่งกระดาษยันต์ ใช้ดารานับล้านดวงเป็นพู่กันจารึกยันต์ และใช้เคล็ดสร้างยันต์อันเหนือจินตนาการสรรค์สร้างยันต์อันพิสดารและลึกซึ้งซึ่งเขามิอาจเข้าใจ

เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความชื่นชม แต่ก็มิได้กล่าวอันใดและต้องการจดจำวิถีโคจรเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงสังเกตและเฝ้ามองอย่างตั้งใจซึ่งไม่นานนักภายในจิตใจของเขาก็สงบดั่งสายน้ำ ความคิดของเขาเริ่มกระจ่างชัดแจ้ง

โอม!

เสียงสวดแปลกหูเพิ่มระดับเสียงและค่อย ๆ ดังก้องกังวานไปทั่วท้องสวรรค์และปฐพี

เหล่าลำแสงเย็นยะเยือกจากดวงดาวนับล้านมาบรรจบกัน กลายเป็นม้วนภาพวาดที่เปล่งประกายด้วยแสงที่ชัดเจน พร้อมกับเสียงร่ายมนต์แปลก ๆ ม้วนภาพวาดปล่อยกระแสแสงที่ไม่มีที่สิ้นสุดปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าอย่างฉับพลัน ก่อนจะนำเหล่าดาราที่ลอยล่องเต็มท้องฟ้ากลับมารวมที่ม้วนภาพวาด!

ฟึ่บ!

ม้วนภาพวาดนั้นม้วนเก็บอย่างรวดเร็วก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นเส้นแสง และพุ่งไปยังทิศทางที่เฉินซียืนอยู่อย่างรวดเร็วจนตาเปล่าแทบมองไม่ทัน!

ความรู้สึกหวาดกลัวก่อตัวขึ้นอย่างฉับพลันในใจของเฉินซี เขาสะดุ้งตื่นจากสภาวะหลงลืมตน ทว่า ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบโต้ ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าศีรษะของเขาสั่นสะท้าน ในเวลาต่อมารูปปั้นขนาดมหึมาของชายชราร่างผอมก็ปรากฏขึ้นภายในจิตสำนึกของเขา ชายชราเท้าเปล่าสวมชุดผ้าป่าน ผมสีขาวของเขาถูกปล่อยยาวอิสระมิได้มัดแต่ง และนั่งขัดสมาธิอยู่บนกลางอากาศ ขณะที่สายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันไกลโพ้น พลางจ้องมองเหล่าดวงดาราอย่างเข้าใจลึกซึ้ง

รูปปั้นชายชราขนาดมหึมานี้ดูเรียบง่ายและไม่ซับซ้อน แต่มีร่องรอยของกลิ่นอายที่ยิ่งใหญ่และล้ำลึกทำให้จิตใจของเฉินซีถูกดึงดูดเข้าไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ

เกิดอะไรขึ้น ชายชราผู้นี้คือใคร?

เฉินซีจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าด้วยความตกใจก่อนที่จะหลับตาลงและครุ่นคิดในใจทันที ‘ข้านั้นกำลังสังเกตการโคจรของเหล่าดวงดาวอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เหตุใดกลับมีการเเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายในห้วงทะเลแห่งจิตสำนึกของข้าเช่นนี้?’

“ผ่านไปกี่ปีแล้ว? ในที่สุดก็มีศิษย์ผู้มีความสามารถพอที่จะสืบทอดมรดกของนายข้า! ฮ่า ๆ ๆ ๆ!”

น้ำเสียงที่ต่ำและแหบแห้งดังก้องกังวานอยู่ภายในหูของเฉินซี ร่างกายของเขาพลันสั่นสะท้าน และชายหนุ่มก็ไม่สามารถไตร่ตรองสิ่งอื่นใดได้อีก ก่อนที่ตัวเขาจะลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อชายหนุ่มเห็นทิวทัศน์รอบ ๆ ตัวเขาอย่างชัดเจน เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

ภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ปกคลุมไปด้วยดวงดาวได้มลายหายไป และถูกแทนที่ด้วยแม่น้ำสายใหญ่ที่เคลื่อนตัวพาดผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวอันละเอียดอ่อนที่ไร้ขอบเขต สายน้ำไหลเชี่ยวด้วยคลื่นที่ซัดสาดและน้ำกระเซ็นไปทั่วทุกทิศทุกทาง แม่น้ำทอดยาวไปข้างหน้าปลายสุดสายตา ในใจกลางของแม่น้ำขนาดใหญ่มีภูเขาลูกหนึ่งตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้า พื้นผิวภายนอกนั้นลึกลับและแห้งแล้ง

ทันใดนั้น สัตว์ประหลาดที่มีเขาเดียวก็เดินออกมาจากลำแม่น้ำใหญ่ มันมีร่างกายของสิงโตและศีรษะของมังกร กีบเท้าอันใหญ่ยักษ์แต่ละข้างมีขนาดเท่ากับเสาหินและยืนอยู่บนก้อนเมฆ ทั่วร่างของมันถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดหนาทึบที่เป็นสีดำสนิท ดวงตาของมันกระจ่างใสและให้ความรู้สึกที่หยั่งรู้อย่างลึกซึ้ง ในทุกสรรพสิ่งบนโลกา

กิ…กิเลน?*[1]

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเมื่อได้เห็นสัตว์ประหลาดตัวนี้ และรู้สึกได้ถึงรัศมีที่น่าสะพรึงกลัวที่ปล่อยออกมาจากร่างกายของมัน หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง

เขาเคยรับรู้ถึงคำอธิบายเกี่ยวกับกิเลนในตำราเท่านั้น ด้วย ‘กิเลน’ มักถูกกล่าวถึงว่าเป็นหนึ่งในสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงในยุคบรรพกาล ซึ่งมีความสามารถในการควบคุมธาตุทั้งห้าและมีสติปัญญาอันยิ่งใหญ่ แม้แต่ในยุคบรรพกาลที่เหล่าเทพกับมารรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด ก็มีเพียงไม่กี่ตัวตนเท่านั้นที่กล้าท้าทายกิเลน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของตัวมันน่ากลัวเพียงใด

ในขณะนี้สัตว์ประหลาดที่คล้ายกับกิเลนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา ต่อให้เขาเฉินซีจะมีนิสัยมั่นคงและไม่หวั่นไหวเหมือนดั่งก้อนศิลาก็ยังรู้สึกอดประหม่าอย่างอธิบายไม่ได้

“เด็กน้อยเจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเป็นวิญญาณพิทักษ์ของเคหาบ่มเพาะและนายท่านตั้งชื่อให้ข้าว่า ‘จี้อวี๋’ ข้าคอยดูแลรักษาเคหาบ่มเพาะของนายท่านมานานกว่าหนึ่งล้านปีแล้ว” สุ้มเสียงที่ต่ำและแหบแห้งดังขึ้นอีกครั้ง แต่ดังออกมาจากภายในปากของสัตว์ประหลาดที่ดูเหมือนกิเลนตัวนั้น

นี่คือ ‘จี้อวี๋’ เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกเล็กน้อยก่อนที่จะระลึกได้ว่า หากสัตว์ประหลาดที่อยู่ตรงหน้าเขามีชีวิตอยู่จริงถึงหนึ่งล้านปี นั่นหมายความว่าเคหาบ่มเพาะหลังนี้ย่อมยืนหยัดมานานกว่าหนึ่งล้านปีแล้วเช่นกันไม่ใช่หรือ?

“ผู้เยาว์เฉินซีขอคารวะผู้อาวุโส ตัวข้าขอเรียนถามผู้อาวุโสว่า ณ ที่แห่งนี้คือสถานที่แห่งการบ่มเพาะจากยุคบรรพกาลแรกเริ่มจริง ๆ หรือ?” เฉินซีถามด้วยน้ำเสียงอย่างสุภาพ แม้ว่าตรงหน้าเขาจะเป็นสัตว์ประหลาดจริง ๆ แต่ก็เป็นตัวตนที่เขามิอาจไม่เคารพได้

“แน่นอน ที่แห่งนี้คือสถานที่บ่มเพาะของนายท่านของข้า” จี้อวี๋เดินมาอยู่เบื้องหน้าของเฉินซีและลดขนาดกายลง ทว่าไม่นานนัก มันก็พูดด้วยความประหลาดใจและงงงวย “ขอบเขตก่อกำเนิด? ความแข็งแกร่งของเจ้านั้นยังอ่อนแอมาก จะเป็นไปได้อย่างไรที่ตัวเจ้าจะมีคุณสมบัติพอได้รับสืบทอดแก่นแท้มรดกจากนายท่าน?”

เฉินซีซักถามด้วยความสงสัย “อะไรคือแก่นแท้ของมรดกหรือ?”

อย่างไรก็ตาม จี้อวี๋ไม่ได้สนใจเขาและครุ่นคิดอย่างขมขื่นอยู่เนิ่นนาน จากนั้นจึงกล่าวว่า “เจ้าหนู เจ้ากลั่นพลังปราณเสาะหาเต๋าบริสุทธ์ผ่านแผ่นยันต์อักขระอย่างนั้นหรือ?”

‘ข้าเสาะหาเต๋าผ่านแผ่นยันต์อักขระหรือ?’ เฉินซีรู้สึกงุนงงในขณะที่เขาส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ข้าแค่รู้วิธีประดิษฐ์ยันต์พื้นฐานเพียงบางอย่าง”

จี้อวี๋ตระหนักรู้ในฉับพลัน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจและกล่าวว่า “เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน นายท่านของข้านั้นแรกเริ่มเสาะหามรรคาเต๋าผ่านการอนุมานความลับของสวรรค์ การเลือกให้เจ้าเป็นผู้สืบทอดเสื้อคลุมของเขานั้นย่อมเหมาะสม”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]