บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 801

บทที่ 801 ขัดเกลาค่ายกลใหญ่

บทที่ 801 ขัดเกลาค่ายกลใหญ่

การเข่นฆ่ายังคงดำเนินต่อไปราวกับเปลวเพลิงที่ลุกไหม้

หลังจากใช้เคล็ดระเบิดสังหารเทวะ ไม่ว่าจะเป็นแก่นแท้ ปราณแท้ หรือแม้กระทั่งจิตวิญญาณในร่างกายของเฉินซี ก็จะถูกควบแน่นอย่างดุเดือด ซึ่งพวกมันดูจะเดือดพล่าน คำรามลั่น และเผาผลาญอย่างรวดเร็ว

นี่คือเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งยอมสละแก่นแท้ของผู้ใช้เพื่อแลกกับความแข็งแกร่ง เดิมที การบ่มเพาะและความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งของเฉินซีนั้น เพียงพอที่จะใช้พลังการต่อสู้ได้ถึงสิบเท่าแล้ว และเขาก็อยู่ในจุดสูงสุดของผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา

แต่ความแข็งแกร่งของเฉินซีในเวลานี้ได้ทวีคูณเป็นสองเท่า เมื่อรวมกับพลังการต่อสู้สิบเท่า จึงทำให้ชายหนุ่มสามารถใช้พลังการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวได้ถึงยี่สิบเท่า!

ยี่สิบเท่า!

พลังการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวนี้คือสิ่งอันใด? นับตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน จะมีสักกี่คนที่บรรลุสิ่งนี้ได้?

บางทีแม้แต่หยาจื้อซึ่งเป็นสัตว์ร้ายในยุคบรรพกาล ผู้สร้างเคล็ดระเบิดสังหารเทวะก็ยังต้องบอกว่า เป็นไปไม่ได้ที่มันจะครอบครองพลังการต่อสู้ขอบเขตสถิตกายาที่ท้าทายสวรรค์เช่นเฉินซี!

ภายใต้สถานการณ์นี้ เฉินซีจึงสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสามได้อย่างง่ายดาย ราวกับเขากำลังหั่นผักผลไม้ ซึ่งการกระทำนี้ไม่ได้แตกต่างอะไรจากการเชือดคอไก่

ฝนโลหิตโปรยปรายลงมา ในขณะที่เสียงร้องโหยหวนได้สั่นสะท้านไปถึงสวรรค์ทั้งเก้า

ผมสีขาวของเฉินซีพลิ้วไหวราวกับน้ำตก ในขณะที่เขาถือยันต์ศัสตราและเคลื่อนตัวไปรอบ ๆ ซึ่งทุกครั้งที่ฟันกระบี่ออกไป จะเกิดพลังทำลายที่บดขยี้ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และไม่มีใครสามารถต้านทานพลังทำลายของชายหนุ่มได้เลย

นอกจากนี้ ยันต์ศัสตราสีดำสนิทและไร้ความแวววาวในมือของเขาก็สั่นสะท้าน ราวกับมันกำลังโห่ร้องหลังจากที่ลิ้มรสเลือดของศัตรู ยันต์เทวะห้าสายภายในตัวกระบี่ต่างหมุนเวียนและปลดปล่อยอักขระยันต์ออกมามากมาย ในขณะที่กระแสปราณต้นกำเนิดโกลาหลก็ถาโถมลงมาดุจแม่น้ำสีเงิน มันมีพลังในการอนุมานและการรังสรรค์ อีกทั้งยังทำลายกระบี่อมตะครั้งแล้วครั้งเล่า และสะบั้นศีรษะแล้วศีรษะเล่า!

ผู้อาวุโสจิ้งคงและคนอื่น ๆ ล้วนประหลาดใจและคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ทำใจให้สงบได้ยาก

เนื่องจากไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อนว่าเฉินซีจะน่ากลัวได้ถึงขนาดนี้ เขาเป็นเหมือนเทพอสูรที่ตื่นขึ้นหลังจากผ่านการจำศีลมาหลายยุคสมัย และไม่มีใครสามารถหยุดฝีเท้าของชายหนุ่มได้เลย!

พวกเขาในเวลานี้ถูกครอบงำด้วยความกลัว ร่างกายของทุกคนสั่นสะท้านอย่างยากจะควบคุม แม้แต่วิญญาณก็แทบหลุดออกจากร่าง ไม่ต้องกล่าวถึงการสร้างค่ายกลกระบี่จักรวาลสยบมารอีกครั้ง แม้แต่ขวัญกำลังใจที่จะลุกขึ้นสู้ก็พังทลายลง!

“เป็นไปได้อย่างไรกัน!?”

“ทุกการโจมตีจะสังหารผู้คน หรือว่าไอ้เด็กบัดซบนี่จะถูกทวยเทพเข้าสิง!?”

“เร็วเข้า! เจ้าเด็กคนนี้น่ากลัวเกินไป และมันไม่ใช่คนที่เราจะไปต่อกรด้วยได้ รีบไปแจ้งศิษย์พี่อวิ๋นจูให้ลงมือเร็วเข้า!”

ในขณะนี้ มีคนเหลืออยู่เพียงสามคนรวมทั้งผู้อาวุโสจิ้งคงด้วย พวกเขาเหมือนแมลงวันหัวขาดที่ร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวและเดือดดาล ขณะวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่งราวกับสุนัขจรจัดที่ตื่นตระหนก

ถึงขนาดที่ว่าพวกเขาไม่สามารถรอให้ผู้อาวุโสอวิ๋นจูมาช่วยเหลือ และตั้งใจละทิ้งค่ายกลใหญ่นี้ในทันทีเพื่อรีบหลบหนีไป

“อย่าได้คิดหนี!” เฉินซียื่นมือออกไปและคว้าจับ ในขณะที่เปิดใช้งานเคหาดาราที่อยู่ในจี้หยก ทำให้มันกลายเป็นหลุมดำที่ดูดจิ้งคงและคนอื่น ๆ เข้าไปทันที โดยในเวลาเดียวกัน ร่างของเฉินซีก็เข้าไปในเคหาดาราพร้อมกับพวกเขาและหายวับไป

ค่ายกลกระบี่จักรวาลสยบมารนี้ถูกสร้างขึ้นจากม้วนภาพวาดกระบี่ระดับสมบัติอมตะแปดชิ้น ซึ่งสามารถผนึกฟ้าดินเพื่อสร้างโลกของตนเอง ดังนั้น หากเฉินซีปล่อยให้จิ้งคงและคนอื่น ๆ หนีไปได้ แม้เขาจะสามารถรับมือกับอันตรายในค่ายกลนี้ได้ แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่มีศัตรูซุ่มโจมตีอยู่ทางข้างนอก

เฉินซีกักขังจิ้งคงและคนอื่น ๆ ไว้ภายในเคหาดาราอย่างสมบูรณ์ ทำให้พวกเขาไม่สามารถหลบหนีได้ ดังนั้นตราบใดที่ชายหนุ่มสามารถฆ่าพวกมันก่อนจะจากไป อันตรายที่เขาต้องเผชิญจะลดลงอย่างมาก

วูบ!

แสงสีดำสนิทสว่างวาบก่อนที่เคหาดาราจะหายไป

โลกทั้งใบกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง มีเพียงกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วท้องฟ้า

ภายนอกค่ายกลกระบี่จักรวาลสยบมาร

ผู้อาวุโสอวิ๋นจูดูจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นในทันใด และจ้องมองไปยังภาพวาดซึ่งก่อตัวขึ้นจากม้วนภาพวาดกระบี่ทั้งแปดม้วนที่ลอยอยู่กลางอากาศ หากแต่ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความงุนงง

เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ค่ายกลกระบี่จักรวาลสยบมารไม่ได้ถูกควบคุมอีกต่อไป และมันกำลังทำงานด้วยตัวเอง “ช่างแปลกนัก เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นภายในนั้น?”

“อาจารย์ลุง ท่านสังเกตเห็นอันใดหรือไม่” เหลิ่งฉานเอ๋อร์ที่อยู่ใกล้เคียงตกตะลึง นางกำลังหารือกับเวินเทียนซั่วเกี่ยวกับแผนที่สมบัติของภูเขาร้างเต๋านภา แต่ทันใดนั้นนางก็สังเกตเห็นว่าท่าทางของผู้อาวุโสอวิ๋นจูดูจะไม่พอใจเล็กน้อย ทำให้นางสงสัยจนต้องเอ่ยถาม

“มีบางอย่างผิดปกติ” ผู้อาวุโสอวิ๋นจูขมวดคิ้ว ขณะที่ใบหน้าของเขาเปี่ยมด้วยความจริงจัง “จากการคำนวณของข้า เวลาเท่านี้ก็นับว่าเพียงพอสำหรับจิ้งคงและคนอื่น ๆ ที่จะฆ่าเจ้าเด็กนั่น แต่ตอนนี้กลับไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ ค่ายกลกระบี่จักรวาลสยบมารก็ปราศจากการควบคุมแล้ว”

เหลิ่งฉานเอ๋อร์ตกใจและรู้สึกว่าเชื่อได้ยาก “เป็นไปไม่ได้ ด้วยการบ่มเพาะของท่านอาจารย์จิ้งคงและคนอื่น ๆ แม้ว่าจะล้มเหลวในการสังหารเฉินซี แต่พวกท่านก็ควรมีเวลาพอที่จะหลบหนี แล้วพวกท่านจะละทิ้งค่ายกลไปได้อย่างไรกัน?”

ผู้อาวุโสอวิ๋นจูขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถเข้าไปได้เช่นกัน มิฉะนั้นข้าจะได้รับผลสะท้อนกลับจากค่ายกล และมันก็ไม่คุ้มค่า เว้นแต่จิ้งคงและคนอื่น ๆ จะเปิดค่ายกลจากข้างใน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้…”

“นี่… หรือว่า…เฉิน… เด็กคนนั้นได้ฆ่าทุกคนแล้ว” เวินเทียนซั่วที่อยู่ใกล้เคียงประหลาดใจยิ่ง และใบหน้าของเขาก็กลายเป็นซีดเผือด ในขณะที่เกือบจะอุทานชื่อของเฉินซีโดยไม่ได้ตั้งใจ

“นี่มันไม่น่ากลัวไปหน่อยหรือ? แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีสิบสามคนจากนิกายวิถีกระแสสวรรค์ก็ไม่สามารถทำอะไรกับเฉินซีได้ แผนการครั้งนี้จะไม่จบลงด้วยความล้มเหลวใช่หรือไม่?”

“หากเป็นเช่นนี้จริง ๆ ผลลัพธ์ที่รอข้าอยู่จะเป็นเช่นไรกัน?”

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หัวใจของเวินเทียนซั่วก็อดไม่ได้ที่จะหนาวเหน็บ เขารู้สึกหวาดกลัวและไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง

“หุบปาก!” หญิงสาวตำหนิด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ท่านอาจารย์ลุงทั้งสิบสามคนของข้าจะถูกฆ่าล้างในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้อย่างไร? ข้าจะเป็นคนแรกที่ฆ่าเจ้าเสีย หากเจ้ายังกล่าววาจาไร้สาระอีก”

เวินเทียนซั่วตัวสั่นด้วยความกลัว เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยโทสะของเหลิ่งฉานเอ๋อร์ และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปมา ในขณะที่ตัวคนนิ่งเงียบเหมือนจักจั่นในฤดูหนาว

“เราทำได้แค่รอตอนนี้” ผู้อาวุโสอวิ๋นจูเงียบไปนานก่อนที่จะกล่าวช้า ๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]