บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 814

บทที่ 814 สัตว์อสูรจักรวาล

บทที่ 814 สัตว์อสูรจักรวาล

เฉินซีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปจับมือของเหลียงปิง และจากนั้นเขาจึงกล่าวว่า “ยะ…ยินดีที่ได้พบ ข้าเฉินซี”

มือที่เรียวขาวของเหลียงปิงนั้นอ่อนนุ่มและละเอียดอ่อนยิ่ง มันให้ความรู้สึกคล้ายถือซาลาเปาอุ่น ๆ ที่เนียนนุ่ม ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ทว่าความรู้สึกแปลกประหลาดกลับผุดขึ้นมาในใจของเฉินซี และเขายังคงรู้สึกว่า การแตะเนื้อต้องกายเช่นนี้ดูจะไม่เป็นการล่วงเกินมากไปหน่อยหรือ?

โชคดีที่มันกินเวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น

หลียางสังเกตเห็นทั้งหมดนี้จากทางด้านข้าง นางจึงได้กะพริบตาใส่เฉินซีด้วยท่าทางเย้าแหย่ ก่อนที่จะกล่าวกับเหลียงปิงว่า “เอาล่ะ ข้าขอฝากศิษย์หลานของข้าไว้กับเจ้าด้วย แล้วข้าจะกลับมารับเขา เมื่อเขาขึ้นไปยังเจดีย์ต้าเหยี่ยนได้แล้ว”

“เจดีย์ต้าเหยี่ยน?”

เฉินซีตกตะลึง “มันคือที่ใดกัน?”

ดวงตาของเหลียงปิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ จากนั้นนางพลันมองไปที่หลียาง แต่ก็ไม่ได้กล่าวอันใดออกมา

รูปโฉมของนางทั้งงดงามและเย็นชา แต่รูปร่างกลับเร่าร้อนและเย้ายวน ที่แค่เพียงยืนนิ่งเฉยเอามือกอดอก หญิงสาวก็ดูราวกับราชินีผู้กำลังตรวจตราอาณาจักรของตน ซึ่งได้แผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขามออกมาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อพวกเขากำลังจะจากไป เฉินซีที่ไม่อาจระงับความสงสัยได้อีก จึงเอ่ยถามผ่านกระแสปราณว่า “ศิษย์พี่ แม่นางเหลียงปิงคือใครกันหรือขอรับ?”

“นางเป็นบุตรีของตระกูลเก่าแก่ในภพต้นกำเนิด อ้อ เจ้ายังไม่รู้ว่าภพต้นกำเนิดคือสิ่งใดสินะ ข้าจะกล่าวอย่างไรดี… ที่นั่นเรียกอีกอย่างว่า ‘ภพบรรพชน’ มันให้กำเนิดตัวตนที่น่าเกรงขามและยิ่งใหญ่ซึ่งบรรลุขอบเขตมหาเทพเต๋ามากมาย” หลียางกล่าวอย่างรวดเร็วผ่านกระแสปราณว่า “เมื่อเจ้าบรรลุเป็นเซียนสวรรค์แล้ว เจ้าจะสามารถท่องไปในภพบรรพชนได้ มันเป็นภพที่มีเอกลักษณ์ที่สุดท่ามกลางพิภพกว่าสามพันแห่ง และมรดกมากมายก็ถือกำเนิดขึ้นจากที่นั่น ใช่แล้ว อารยธรรมของที่นั่นก็ไม่เลวเช่นกัน”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ หลียางก็ยิ้มบาง ๆ ดวงตาที่สดใสของหญิงสาวเผยประกายแปลก ๆ และเสียงที่แผ่วเบาของนางก็แฝงด้วยความเย้ายวน “ศิษย์น้องเล็ก เหลียงปิงในชุดนี้ถือว่ามากไปด้วยเสน่ห์ที่เย้ายวนมิใช่หรือ? หากเจ้าสามารถล่อลวงนางและพานางกลับไปด้วยได้ละก็ เจ้าจะสามารถขอให้นางเปลี่ยนเสื้อผ้าหลากหลายแบบให้แก่เจ้าได้ และมันจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของเจ้าให้กว้างขึ้นอย่างแน่นอน”

เฉินซี “…”

เมื่อนางเห็นท่าทางที่จนปัญญาของอีกฝ่าย หลียางพลันยิ้มอย่างมีความสุขมากขึ้น จากนั้นก็ตบไหล่เขาเบา ๆ “เอาล่ะ รีบไปเถิด อย่าให้ปิงปิงน้อยต้องรอนานเกินไป”

“ปิงปิงน้อย…”

เหลียงปิงซึ่งแต่เดิมเอามือกอดอกเหมือนราชินี พลันโงนเงนทันทีที่ได้ยินสิ่งนี้ ก่อนที่นางจะแสดงความโกรธที่หาได้ยากออกมา พร้อมกับจ้องเขม็งมายังหลียางอย่างเย็นชา

ทว่าผู้เป็นศิษย์พี่ของเขากลับยิ้มอย่างเฉยเมย และไม่กล่าวอะไรอีก ก่อนที่หญิงสาวจะโบกมือให้กับเฉินซี ซึ่งในพริบตาต่อมา ร่างของนางก็กลายเป็นแสงดาวเย็นยะเยือกที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ตามข้ามา” เมื่อหลียางจากไป เหลียงปิงก็กลับมามีท่าทีเย็นชาอีกครั้ง และด้วยหนึ่งโบกมือ สมบัติวิเศษรูปทรงกระสวยสีเงินพลันส่องประกายระยิบระยับ และสาดแสงห่อหุ้มร่างของทั้งสองคนไว้

ครืน! ครืน!

สมบัติวิเศษรูปทรงกระสวยสีเงินนี้ราวกับสัตว์ร้ายที่เฝ้ารออย่างกระวนกระวายมานานแล้ว จากนั้นมันก็ระเบิดพลังออกมาทันที พุ่งทะยานผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวชั้นแล้วชั้นเล่า และมุ่งหน้าไปยังพิภพยันต์อักขระที่อยู่ไกลแสนไกล

“นี่คือสมบัติอมตะระดับจักรวาล ‘กระสวยแสงเงิน’ มันสามารถทลายกำแพงเวลาและมิติให้แยกออกจากกัน ส่งผลให้มันสามารถบินเป็นระยะทางไกลถึงปีแสงได้ในพริบตา เราจะไปถึงพิภพยันต์อักขระในอีกราวหนึ่งก้านธูป” เสียงของเหลียงปิงดังก้องอยู่ข้างหูของเฉินซี มันประหนึ่งหยดน้ำค้างแข็งที่เยือกเย็นจนหนาวไปถึงกระดูก!

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่งดงามและเย็นชาคนนี้ ก่อนที่เขาจะพยักหน้าและไม่ได้กล่าวอันใดอีก

เฉินซีพอจะแยกแยะได้ว่า ความประทับใจของเหลียงปิงที่มีต่อตัวเขานั้นไม่ถือว่าดีหรือเลวร้ายนัก ไม่เย็นชาหรือเป็นกันเอง แต่เป็นเชิงในที่มีผลประโยชน์ร่วมกันมากกว่า กระทั่งชายหนุ่มยังนึกสงสัยว่า หากไม่ใช่เพราะศิษย์พี่หลียาง หญิงสาวผู้เย็นชาและเย่อหยิ่งราวกับราชินีคนนี้ คงจะไม่ชายตามองเขาแม้แต่น้อย!

เมื่อเฉินซีคิดมาถึงตรงนี้ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย ‘ความแข็งแกร่งของหญิงสาวคนนี้ยอดเยี่ยมเพียงใด ถึงเป็นสหายกับศิษย์พี่หลียางได้? เป็นไปได้หรือไม่ว่า นางจะเป็นศิษย์เอกของผู้ยิ่งใหญ่บางคน? หรือบางทีนางอาจจะเป็นลูกหลานของตระกูลที่ไม่ธรรมดา?’

‘ว่าแต่ภพต้นกำเนิดเป็นสถานที่น่าอัศจรรย์เช่นใด?’

ข้อมูลทั้งหมดนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้ และทำให้เฉินซีตระหนักลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาล ดังนั้น หากวิสัยทัศน์ของเขาจำกัดอยู่ที่แดนภวังค์ทมิฬ ชายหนุ่มก็ไม่ต่างจากกบในบ่อที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า

อันที่จริงมันก็ชัดเจนนัก มีโลกใบใหญ่ถึงสามพันแห่ง และโลกใบเล็กอีกนับไม่ถ้วนที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วสวรรค์และโลก อีกทั้งยังมีอารยธรรมและเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนในดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ดังนั้นใครจะกล้ากล่าวว่า ตนนั้นเป็นสัพพัญญูผู้รอบรู้ทุกสิ่ง?

“อาหลีไม่ได้บอกข้าถึงเหตุผลที่เจ้ามายังพิภพยันต์อักขระแห่งนี้ และข้าก็ไม่ต้องการรู้เช่นกัน หน้าที่ของข้าก็คือ เป็นผู้นำทางและอธิบายความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับพิภพยันต์อักขระให้เจ้าทราบเท่านั้น” เมื่อเห็นเฉินซีนิ่งเงียบมาตลอดทาง เหลียงปิงก็หาได้สนใจไม่ นางกล่าวเพียงว่า “เจ้าควรฟังอย่างเงียบ ๆ และอย่าได้ขัดจังหวะ เมื่อข้าอธิบายเสร็จแล้ว ข้าจะให้เวลาเจ้าได้ซักถาม”

น้ำเสียงของนางชัดเจนและเยือกเย็น ซึ่งให้ความรู้สึกราวกับอยู่เหนือเหตุผล อีกทั้งยังตัดสินใจโดยพลการด้วยท่าทีที่เอาแต่ใจยิ่งนัก

แน่นอนว่าเฉินซีเพียงยิ้ม และไม่รังเกียจท่าทีของนางแต่อย่างใด

“พิภพยันต์อักขระถูกสร้างขึ้นในสนามรบแนวหน้าของภพทั้งสาม และมันนำไปสู่จักรวาลที่ไร้ขอบเขต ดังนั้นมันจึงเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างยิ่ง ทำให้ชีวิตของเจ้าตกอยู่ในอันตรายได้ตลอดเวลา”

“ภัยคุกคามในพิภพยันต์อักขระแบ่งออกเป็นสองประการ อย่างแรกคือถูกสัตว์อสูรจักรวาลฆ่า และนี่คือภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดต่อชีวิตของเจ้า ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ที่กำลังฝึกฝนตัวเองอยู่ในพิภพยันต์อักขระ ต่างก็ต้องล้มตายภายใต้คมเขี้ยวของสัตว์อสูรจักรวาล”

“ส่วนประการที่สองคือถูกผู้อื่นฆ่า นี่ถือเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของเจ้าเช่นกัน เนื่องจากไม่มีกฎและข้อจำกัดอยู่ในพิภพยันต์อักขระ ดังนั้นผลลัพธ์จึงขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของแต่ละคน ดังนั้นตราบเท่าที่เจ้ามีพลังที่แข็งแกร่ง ก็จะไม่มีใครในพิภพยันต์อักขระมาสนใจเจ้า แม้เจ้าจะทำให้เซียนสวรรค์เป็นทาสรับใช้ จับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มาเป็นทาส หรือสยบมังกรให้เป็นเพียงสัตว์พาหนะก็ตาม”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]