บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 88

บทที่ 88 ภูเขากำราบธาตุ
บทที่ 88 ภูเขากำราบธาตุ

พื้นที่โดยรอบเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทั้งเนินเขาเขียวขจี สายน้ำสีฟ้าใสแจ๋ว เมฆหมอกที่แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณกว้างใหญ่ รวมถึงนกนานาชนิด ทว่าใกล้ ๆ กับภูเขาสูงชันดำสนิทมีลมกระโชกแรงพัดกระหน่ำ กรวดทรายปลิวว่อนขึ้นสูงกระจายไปทั่วท้องฟ้า ทั้งยังปรากฏเสียงหอนโหยหวนแว่วมา ราวกับเสียงคร่ำครวญของสัตว์ประหลาดปะปนมากับเสียงสุนัขป่าเห่าหอน

ภาพที่แตกต่างกันสองภาพรวมตัวกันอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา ทว่าภาพทั้งสองนั้นกลับแบ่งแยกได้อย่างชัดเจน จนน่าประหลาดใจ!

ครืน!

เรือเหาะสมบัติหยุดนิ่งห่างออกไปประมาณหนึ่งร้อยลี้

“ดูนั่น” ราชาเต่าเฒ่าชี้ไปยังภูเขาดำทมิฬ “ที่นั่นมีชื่อว่าภูเขาธาตุผกผัน ในบริเวณนั้นมวลธาตุต่าง ๆ จะกลับตาลปัตร ทำให้ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์อสูรก็อาศัยอยู่ที่นั่นไม่ได้ แม้กระทั่งผู้บ่มเพาะพลังอย่างพวกเราก็เช่นกัน หากพลั้งเข้าไปจะมีอาการโลหิตไหลย้อนออกจากหัวใจและปราณแท้ในร่างจะปั่นป่วนยุ่งเหยิง ยิ่งถ้าใครเข้าไปอยู่ในรัศมีของภูเขาธาตุผกผันนานมากเท่าใด ปราณภายในร่างของคนผู้นั้นก็จะยิ่งปั่นป่วนจนอาจระเบิด และตายลงในที่สุด”

ดวงวิญญาณของเฉินซีนั้นมีความแข็งแกร่งยิ่งยวด ทันทีที่ชายหนุ่มขยายญาณจิตเฉียดเข้าใกล้ภูเขาสีดำลูกนั้น ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นถึงความแปรปรวนดุจกระแสน้ำได้อย่างเฉียบพลัน มันทั้งมืดมิด ลึกลับ และหนักหน่วง… ประหนึ่งภูเขาลูกนี้ได้บรรจุพลังบางอย่างที่พร้อมจะบดขยี้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดเอาไว้ พลันทำให้หัวใจของคนกระตุกแรงขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“น่ากลัวมากจริง ๆ” เฉินซีมองตามแล้วพยักหน้า “ชิ้นส่วนของแผนภาพวารีหลากอยู่ใต้ภูเขาลูกนั้นสินะ”

“ถูกต้อง ตามที่บรรพบุรุษของข้าเคยกล่าวไว้ ในอดีต ไม่มีสถานที่ที่ถูกเรียกว่าภูเขาธาตุผกผัน แต่เมื่อล้านปีที่แล้วมันกลับบังเกิดขึ้นพร้อมกับข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องชิ้นส่วนของแผนภาพวารีหลาก ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าชิ้นส่วนของแผนภาพวารีหลากต้องถูกผนึกอยู่ข้างใต้อย่างแน่นอน” เสียงของราชาเต่าเฒ่าตอบ

“ยิ่งกว่านั้นตามข้อสันนิษฐานของข้า ความผันผวนประหลาดน่าจะมีสาเหตุจากการที่ภูเขาธาตุผกผันพยายามปกปิดอำนาจพลังของแผนภาพวารีหลากเอาไว้ ไม่อย่างนั้นก็คงมีผู้บ่มเพาะที่มีความแข็งแกร่งเหนือจินตนาการเจอมันตั้งนานแล้ว”

“เราควรทำอย่างไรต่อ?” เฉินซีไม่อาจรีรอต่ออีกแม้อึดใจเดียว ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยว ตราบใดที่มันคือ ‘แผนภาพวารีหลาก’ ก็จะยังเป็นสิ่งล่อใจมากอยู่วันยังค่ำ

ดังคำกล่าวที่ว่าเงินทองเปลี่ยนใจคนได้ฉันใด สิ่งยั่วยุก็ย่อมเกิดขึ้นได้ฉันนั้น หลักการนี้ยังถูกต้องเสมอ

“ไม่มีทางอื่น พวกเราต้องเดินเข้าไปตรง ๆ เท่านั้น” ราชาเต่าเฒ่าผายมือพลางยกยิ้มอย่างขมขื่น “เมื่อเข้าไปในบริเวณภูเขาธาตุผกผัน สมบัติวิเศษใด ๆ จะไร้อำนาจทันทีเนื่องจากความผกผันของพลังที่อยู่ข้างใน เพราะฉะนั้นพวกเราจะไม่สามารถใช้เรือเหาะสมบัตินี้ได้อีกต่อไป ส่วนตำแหน่งของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากนั้นอยู่ข้างใต้ภูเขาธาตุผกผันลูกนั้น”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของราชาเต่าเฒ่าก็เคร่งเครียดจริงจังขึ้นทันที จากนั้นจึงกล่าวว่า “เมื่อพวกเราเข้าใกล้ภูเขาธาตุผกผัน พลังของข้ากับชิงชิวจะถดถอยลงมาก น้องชายเฉินซี ข้าเกรงว่าถึงตอนนั้นพวกเราจะไม่สามารถช่วยเจ้าได้…บางทีเจ้าจะต้องอาศัยความสามารถของตัวเองในการเข้าไปนำชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากกลับมา”

“ตกลง!” หากอยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ! เป็นเรื่องปกติที่การจะนำเอาชิ้นส่วนของแผนภาพวารีหลากมาอย่างง่ายดายนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เฉินซีคาดแล้วว่าจะต้องพบเจอเรื่องเช่นนี้

“ไปกัน!” เฉินซีทะยานลงจากเรือเหาะสมบัติเป็นคนแรก ทันทีที่เท้าเหยียบไปบนที่พื้นดินอันแห้งแล้ง ฉับพลันเขาก็รู้สึกว่าร่างกายสั่นไหวและสัมผัสถึงพลังมืด ทั้งลึกลับและหนักหน่วงปะทะเข้าที่ใบหน้าของเขา ปราณแท้ในขั้นตำหนักอินทนิลเองก็ราวกับถูกบางสิ่งกระตุ้นจึงทำให้เริ่มปั่นป่วน แม้แต่โลหิตที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายก็เหมือนไม่อาจควบคุมได้และกำลังจะไหลย้อนกลับ

ชายหนุ่มจึงโคจรวิชาบ่มเพาะพลังของตนอย่างรีบด่วน จากนั้นจึงสามารถยับยั้งไว้ได้ ยามนี้สีหน้าท่าทางของเขาถมึงทึงน่ากลัวนัก

หวิว~! หวิว~!

กระแสลมกระโชกมาอย่างรุนแรง เสียงกรีดร้องโหยหวนดังมาประหนึ่งเสียงของเทพแห่งภูตผีปีศาจกำลังร่ำไห้ ทิ่มแทงเข้าไปในโสตประสาทจนเสียดหู ทว่าสำหรับเฉินซีผู้รู้แจ้งในเต๋าแห่งสายลมแล้ว ตระหนักรู้แก่ใจว่าไม่มีอะไรในกระแสลมนั้น

ทันทีที่กระแสพายุรุนแรงสัมผัสร่างกายของชายหนุ่ม ราวกับว่ามันได้พานพบราชาของพวกมันจึงยอมศิโรราบแต่โดยดี และไม่กล้าต้านทานอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายที่มีอำนาจเหนือกว่าพวกมันแต่อย่างใด

จากนั้นเฉินซีก็เคลื่อนออกไปพร้อมกับพลังที่มหาศาลและก้าวเข้าสู่พื้นที่ที่อยู่ลึกเข้าไป พลังผันผวนที่ผิดปกติของภูเขาธาตุผกผันแข็งแกร่งยิ่งขึ้น มันซัดผ่านร่างของเขาดั่งคลื่นยักษ์ระลอกแล้วระลอกเล่า ราวกับภูตผีที่ต้องการจะจับและดูดดวงวิญญาณ พวกมันไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าทำให้โลหิตและปราณแท้ในร่างกายของเฉินซีปะทุระเบิด

ขณะเดียวกัน ราชาเต่าเฒ่าและราชาจิ้งจอกเก้าหางก็เร่งตามไปติด ๆ เวลานี้พวกเขาไร้ทั้งศัสตราวิเศษหรือสมบัติที่จะใช้ป้องกันตนเอง จะมีก็เพียงความช่วยเหลือจากเฉินซีเท่านั้น ยามนี้กระแสลมหนักหน่วงไม่อาจสัมผัสร่างกายของพวกเขาได้เช่นกัน ทำให้ราชาอสูรนึกชื่นชมอีกฝ่ายอยู่หัวใจไม่รู้จักจบ พลางจับจ้องไปยังแผ่นหลังของเฉินซีด้วยสายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง

ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!

ผ่านไปชั่วหนึ่งก้านธูป เหลือระยะทางอีกราวร้อยจั้งทั้งหมดก็จะไปถึงภูเขาธาตุผกผันแล้ว ทว่าตอนนี้ดูเหมือนราชาอสูรทั้งสองจะก้าวต่อไปไม่ไหว พวกเขาหอบหายใจอย่างหนักหน่วงและถี่เร็ว ยามนี้สีหน้าของแต่ละคนซีดขาวอย่างกับผีดิบ แสดงว่าพลังผกผันที่ไร้รูปลักษณ์และประหลาดล้ำนั่นได้สร้างแรงกดดันต่อพวกเขาอย่างมากมาย

มีเพียงเฉินซีที่ยังนับว่าปกติอยู่เนื่องจากดวงใจเต๋าของเขาแข็งแกร่งดุจภูผาสวรรค์ และดวงวิญญาณของเขาก็ได้บรรลุไปถึงขั้นญาณจิตแล้ว จึงทำให้ชายหนุ่มสามารถควบคุมการทำงานของร่างกายได้อย่างยอดเยี่ยม ต่อให้ความผกผันนี้จะทวีความรุนแรงมากขึ้น หากก็ยังอยู่ในระดับที่เขาสามารถทนได้

“น้องชายเฉินซี ข้ากับชิงชิวคงมาส่งเจ้าได้แค่นี้ ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” ราชาเต่าเฒ่าหยุดพูดพลางสูดหายใจหนัก

“เจ้าต้องทำให้สำเร็จ พวกเราจะรอการกลับมาอย่างมีชัยของเจ้า!” ราชาจิ้งจอกเก้าหางพูดพลางจ้องเข้าไปยังดวงตาของเฉินซี คำพูดนั้นเน้นย้ำช้า ๆ ชัด ๆ ในทุกพยางค์

“ตกลง!” เฉินซีพยักหน้าก่อนจะออกเดินต่อไป

“เขาจะทำสำเร็จหรือไม่” ขณะนั้นราชาจิ้งจอกเก้าหางจับตามองร่างของเฉินซีซึ่งค่อย ๆ หายลับไปในระยะไกล ภายในจิตใจเต็มไปด้วยความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของตน เสียงพึมพำแผ่วเบาออกมาว่า “ถ้าเขาทำไม่สำเร็จ ข้าคงมีแต่นั่งรอความตายเท่านั้น”

“อย่าเพิ่งสิ้นหวังไปเลย เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเขายังมีผู้อาวุโสลึกลับที่น่าเกรงขามคอยช่วยเหลืออยู่?” ราชาเต่าเฒ่ากล่าวเสียงขรึมขึ้น “เขาต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน เมื่อใดที่เขานำชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากออกมาได้ พันธนาการที่ครอบงำเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้อยู่จะถูกทำลาย เจ้ากับข้าจะสามารถบรรลุขอบเขตเคหาทองคำได้ พวกเราจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอายุขัยและต้องตายอย่างอนาถด้วย”

“บัดซบ! พลังอะไรกันแน่ ประหลาดนัก” ยิ่งเฉินซีเดินลึกเข้าไปมากเท่าไร กลับยิ่งเหน็ดเหนื่อยขึ้นทุกที เขาต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีควบคุมการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย หากชายหนุ่มผ่อนกำลังลงเพียงเล็กน้อย โลหิตในตัวรวมทั้งปราณแท้จะเกิดการปั่นป่วนและเริ่มพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที ซึ่งผลที่ตามมายากจะจินตนาการทีเดียว

“ถ้าข้าไม่สำเร็จขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นห้าดาราแล้วละก็ เห็นทีตอนนี้ข้าคงต้องตายเพราะโลหิตไหลย้อนกลับเป็นแน่ ซ้ำปราณแท้ยังปั่นป่วนไปหมด ไม่น่าแปลกใจเลยที่เหตุใดภายในรัศมีร้อยลี้ของภูเขาธาตุผกผันจึงไร้ชีวิตชีวาแบบนี้”

ช่วงระยะห่างจากภูเขาธาตุผกผันอีกราวสามสิบจั้งเศษ เฉินซีต้องหยุดพักเล็กน้อยระหว่างทาง เนื่องจากเขาต้องโคจรปราณเพื่อต้านแรงผันผวนมาตลอดทาง จึงทำให้กายและใจของเขาอ่อนแรงอย่างมาก ขณะนั้นสายตาของชายหนุ่มจ้องเขม็งไปที่ภูเขาธาตุผกผันที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ความหวาดกลัวจากการเดินทางที่ผ่านมาพุ่งวาบเข้าจับหัวใจทันที

“พลังในโลกนี้ช่างมหัศจรรย์นัก ธาตุกลับตาลปัตร…ในโลกนี้ยังมีพลังอะไรเช่นนั้น ถ้าข้าใช้พลังชนิดนี้มาผสานเข้ากับสมบัติวิเศษของข้าได้ เดาได้เลยว่ามันจะยิ่งน่ากลัวมากขึ้นกว่าเก่าแน่นอน”

“เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว!” ขณะที่เฉินซีตกอยู่ในภวังค์ความคิด จี้อวี๋ก็ปรากฏตัวขึ้น เขายืนเอามือไพล่หลังสบาย ๆ อยู่ข้าง ๆ นั่นเอง ในตอนนี้ชายชรากำลังมองไปที่ภูเขาสูงชันน่าอันตรายซึ่งสูงขึ้นไปเหนือชั้นเมฆ

“ผู้อาวุโส ท่านรู้หรือไม่ว่าบนยอดเขาธาตุผกผันมีพลังงานอะไรอยู่กันแน่ และข้าจะนำมาปรับแต่งใส่สมบัติวิเศษได้อย่างไร” เฉินซีถามออกไปด้วยสุ้มเสียงระคนสงสัย

จี้อวี๋ถึงกับชะงัก “ที่นี่คือภูเขากำราบธาตุต่างหาก! ไม่ใช่ภูเขาธาตุผกผันอย่างที่พวกเจ้าเข้าใจ!”

คราวนี้กลายเป็นเฉินซีที่ตะลึงงัน “ภูเขากำราบธาตุอย่างนั้นหรือ?”

“ที่นี่คือภูเขากำราบธาตุไม่ผิดแน่ เนื่องจากมันมีแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบล้ำลึกปกคลุมอยู่ทั่ว แค่เม็ดกรวดของมันที่มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวก็มีน้ำหนักไม่น้อยกว่าสามแสนชั่ง อีกทั้งยังสามารถยับยั้งแก่นของธาตุทั้งห้าได้ ในยุคบรรพกาล ภูเขากำราบธาตุเป็นวัตถุล้ำค่าสำหรับใช้สร้างศัสตราที่หายากมาก ส่วนแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบล้ำลึกที่สถิตอยู่ในนั้นสามารถใช้บ่มเพาะทักษะเทพอิทธิฤทธิ์ที่เรียกว่าทักษะปีกกำราบผกผัน อำนาจของทักษะนี้ไม่เพียงสามารถทำให้ผู้ฝึกตนบินทะลวงมิติและเคลื่อนที่ไปในระยะไกลได้ในชั่วพริบตาเท่านั้น แต่ยังสามารถปลดปล่อยรัศมีแสงที่ทำให้สมบัติวิเศษของธาตุทั้งห้าสูญเสียพลังอย่างฉับพลัน!”

“ความแข็งแกร่งของมันหาได้ด้อยกว่าพลังแสงศักดิ์สิทธิ์ห้ารัศมี ซึ่งอยู่ในอันดับสิบของช่วงกำเนิดโลกยุคแรก”

“ส่วนภูเขาธาตุผกผันก็มีอยู่จริงเช่นกัน ภูเขาธาตุผกผันนั้นลี้ลับอย่างยิ่ง มันสามารถกดอากาศบริสุทธิ์ให้จมลงไป และดันอากาศปนเปื้อนอันตรายให้พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า สลับเปลี่ยนสวรรค์และโลกมนุษย์ เกิดพลังเวียนย้อนกลับ อย่างไรก็ตามเมื่อหลายล้านปีก่อน มีผู้บ่มเพาะทรงพลังได้ขัดเกลาจนมันกลายเป็นสมบัติวิเศษ ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีภูเขาธาตุผกผันปรากฏขึ้นในโลกเป็นแห่งที่สอง” จี้อวี๋เขม้นสายตามองไปยังภูเขากำราบธาตุ ขณะพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยการหวนรำลึกและความทรงจำ

‘ภูเขากำราบธาตุ ภูเขาธาตุผกผัน ปีกกำราบผกผัน แสงศักดิ์สิทธิ์ห้ารัศมี… ในยุคที่สิ่งมีชีวิตบรรพกาลยังท่องโลกอย่างอิสรเสรี ผู้ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่มากมายเท่าใดที่ดูถูกสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลก มีสมบัติล้ำค่าน่าประหลาดและปาฏิหาริย์พิสดารพันลึกมากมายเพียงใดเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น’

เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ หัวใจของเฉินซีก็เต้นรัวสลับแผ่วเบาเหมือนกระแสน้ำขึ้นลง ขณะที่ความโหยหาอันไร้ที่สิ้นสุดผุดขึ้นกลางใจ

“เจ้าอยากจะเก็บภูเขากำราบธาตุแห่งนี้ไว้อย่างนั้นหรือ” จี้อวี๋หันมาถามทันควัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]