บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 901

บทที่ 901 กระบี่อมตะแต้มโลหิต

บทที่ 901 กระบี่อมตะแต้มโลหิต

ไป๋เจวี้ยน!

ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เติบโตผ่านการต่อสู้อันนองเลือดมาอย่างโชกโชน เขามีรูปลักษณ์ที่ผอมบางและไม่สะดุดตา แต่มีสิ่งที่ทำให้ผู้อื่นประทับใจเป็นอย่างมากคือดวงตารูปดอกท้อที่สวยงาม กอปรกับทรงผมที่ถักเป็นมวยหนาและเป็นเงางาม

อีกฝ่ายยืนตรงและหลับตาลง ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ สองสามรอบ จากนั้นใบหน้าที่ดูมืดมนพลันกลายเป็นสีแดงก่ำ ทำให้เขาดูเหมือนกับสัตว์ร้ายที่กำลังเดือดดาล!

“ช่างเป็นกลิ่นอายที่ทรงพลัง เป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้พบกับคู่ต่อสู้ที่ทำให้ข้ารู้สึกคาดหวังได้เช่นนั้น โอ้ การฆ่าเขาอาจจะทำให้ข้าตื่นเต้นมากก็เป็นได้” ดวงตาของไป๋เจวี้ยนหรี่ลงราวกับอสรพิษที่จดจ้องไปยังเหยื่อ มันเต็มไปด้วยความกระหายเลือดและประกายที่น่ากลัว

“ตัวประหลาด!” ที่ด้านข้างของไป๋เจวี้ยน มีชายหนุ่มร่างเตี้ยล่ำราวกับลูกตำลึงได้ถ่มน้ำลายออกมาโดยไม่ยั้ง แต่หลังจากนั้น เขาก็ลูบคางในขณะที่หัวเราะเบา ๆ “แต่ข้าตั้งตารอที่จะสู้กับเจ้าเด็กนั่นจริง ๆ”

น้ำเสียงของเขาไม่ได้แสดงถึงความคาดหวังที่จะพบกับใครบางคนที่สามารถต่อกรกับตนเองได้ ทว่ามันกลับแฝงไปด้วยจิตสังหารอย่างลึกล้ำแทน

หากเฉินซีอยู่ที่นี่ เขาย่อมจำชายหนุ่มที่เตี้ยล่ำคนนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะอีกฝ่ายคือไป๋ฉวิน ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหกที่มีรูปลักษณ์อ่อนโยน แต่แท้จริงแล้วกลับเย็นชาและไร้ความปรานีที่สุด!

เขาไม่ชอบทรมานคู่ต่อสู้อย่างไป๋เจวี้ยน แต่ตราบใดที่เผชิญหน้ากับศัตรู ผลที่ตามมาก็คือความตายเท่านั้น!

“โอ้? ข้านึกว่าเจ้ามุ่งเป้าไปที่หมีตัวนั้นเสียอีก” ไป๋เจวี้ยนชำเลืองมองไป๋ฉวินและกล่าวอย่างไม่เร่งรีบ

“ฮึ่ม! ข้าไม่ลืมเป้าหมายของเราในครั้งนี้ มันเป็นเพียงหมีที่ร้ายกาจ ดังนั้นข้าจึงมีวิธีการมากมายที่จะจัดการกับมัน หลังจากที่ข้าเอาชนะเฉินซีแล้ว บางที การฝึกให้มันกลายเป็นสัตว์ต่อสู้ของข้าก็ไม่ใช่ทางเลือกที่แย่นัก” ไป๋ฉวินยิ้มในขณะที่กล่าวด้วยท่าทางอบอุ่น

“เขาเป็นของข้า” ทันใดนั้น เสียงทุ้มต่ำที่มีจังหวะเฉพาะตัวก็ดังขึ้น และมันก็เหมือนกับกระบี่ขึ้นสนิมที่ดึงออกมาจากฝักเก่า ๆ มันไม่เสียดหู แต่กลับทำให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจ

ไป๋เจวี้ยนและไป๋ฉวินต่างมองหน้ากัน ทั้งสองดูจะรู้สึกหมดหนทางเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ไอรีนโนเวล ขอบคุนจ้า

คนที่กล่าวคือหญิงสาวที่มีผมยาวสลวยลงมาที่เอวประหนึ่งน้ำตก ใบหน้าซีกขวาของนางถูกปกปิดด้วยหน้ากากสีดำ ซึ่งเผยใบหน้าที่งดงามของนางเพียงครึ่งเดียว

นางเป็นดั่งกระบี่สังหารที่หิวกระหายเลือด และแม้ว่านางจะยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว แต่กลับไม่มีใครกล้ามองข้ามการมีอยู่ของหญิงสาว และเสื้อผ้าหลากสีของนางก็ทำให้นางทั้งดูน่าสะพรึงกลัวและงดงามในเวลาเดียวกัน

ไป๋หง!

ผู้ฝึกกระบี่หญิงที่เข่นฆ่าอย่างเด็ดขาด และมือของนางก็แปดเปื้อนเลือดมานับไม่ถ้วน ในเวลาเดียวกัน การบ่มเพาะของนางอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหก ยิ่งกว่านั้น ทุกคนในตระกูลไป๋ต่างก็รู้เป็นอย่างดีว่า ตราบใดที่นางตัดสินใจแล้ว จะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ และแม้แต่ผู้อาวุโสระดับสูงของตระกูลไป๋ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจนางได้!

“ตกลง หากเจ้าทำได้” สีหน้าของไป๋เจวี้ยนกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขามองไปยังโถงรับรองแขกจากระยะไกล ก่อนที่จะกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “แต่ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเฝ้าดูไปก่อน และยามที่เคลื่อนไหว ท่านผู้เฒ่าก็ได้ออกคำสั่งกำชับมาแล้วว่า แม้เราจะต้องต่อสู้จนตัวตาย แต่เราก็ต้องกำจัดเฉินซีให้ได้!”

โถงรับรองแขกของตระกูลไป๋ดูเรียบง่ายยิ่งนัก รวมทั้งการจัดวางและการตกแต่งล้วนเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ที่หยาบกระด้าง

เฉินซียืนอยู่ในลาน และดูเหมือนกำลังตรวจสอบทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเขาอย่างเงียบ ๆ แต่จิตใจของชายหนุ่มกลับพุ่งเข้าสู่โลกแห่งดาราแทน

ร่างอวตารของเฉินซีที่สวมเสื้อคลุมนักพรตเต๋าสีเหลืองอมส้ม กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้หมู่ดาวมากมายบนท้องฟ้า มันกำลังอนุมานและทำความเข้าใจต่อคัมภีร์เต๋านิรันดร์ บางทีอาจกล่าวได้ว่า ตั้งแต่เฉินซีได้ออกจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ร่างอวตารของเขาก็ทำเช่นนี้มาโดยตลอด

คัมภีร์เต๋านิรันดร์ได้หลอมรวมมรดกสูงสุดของเขาวิญญาณนิรันดร์ ซึ่งประกอบด้วยเต๋ารู้แจ้งนิรันดร์และศาสตร์เต๋าที่สอดคล้องกับความล้ำลึกของความเป็นนิรันดร์… ห้ากระบวนท่าแห่งนิรันดร์

ปัจจุบัน ร่างอวตารของเฉินซีได้เข้าใจศาสตร์เต๋านี้ไม่มากก็น้อย ซึ่งเขาสามารถใช้พลังของสามกระบวนท่าได้อย่างสมบูรณ์

ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่เฉินซีได้เข้าใจเต๋ารู้แจ้งนิรันดร์ซึ่งยังไม่สมบูรณ์ และถึงแม้จะไปไม่ถึงขอบเขตขั้นสูง แต่เขาก็หาได้กังวลไม่ เพราะเต๋ารู้แจ้งสูงสุดเช่น มหาเต๋าแห่งนิรันดร์ มหาเต๋าแห่งปารมิตา มหาเต๋าแห่งการลืมเลือน มหาเต๋าแห่งการทำลายล้าง มหาเต๋าแห่งการรังสรรค์และอื่น ๆ เป็นสิ่งที่ทำความเข้าใจได้ยากในช่วงเวลาสั้น ๆ อยู่แล้ว!

นี่เป็นเหมือนการลับหินด้วยน้ำที่ไหลริน มันต้องผ่านการขัดเกลาเป็นเวลาที่นานโข จึงจะประสบความสำเร็จ

อันที่จริง หากเปรียบเทียบกันแล้ว ตัวเขากลับประหยัดเวลาได้มากกว่าเมื่อเทียบกับผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ เพราะตัวเขาครอบครองร่างอวตารซึ่งมีความสามารถในการรับรู้ร่วมกัน รวมถึงมีโลกแห่งดาราที่มีกฎแห่งเวลาที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง

และตราบเท่าที่ร่างอวตารของเฉินซีนั่งบ่มเพาะที่นี่เงียบ ๆ การบรรลุมหาเต๋าที่หาได้ยากนี้ก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น!

“น่าเสียดาย ร่างอวตารของข้ายังไม่สามารถรับรู้ถึงพลังของทัณฑ์สวรรค์อันหนักหน่วงที่จะบรรลุไปสู่ขอบเขตเซียนปฐพีได้ หรือว่าปัญหาจะอยู่ที่เคล็ดวิชาปฏิการะโลกา?” เฉินซีถอนความคิดของเขาออกจากโลกแห่งดารา และขมวดคิ้วขณะครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ

ร่างอวตารของเฉินซีถูกควบแน่นด้วยแก่นโลหิตและวิญญาณของเขาผ่านเคล็ดวิชาปฏิการะโลกา ซึ่งเป็นเสมือนส่วนหนึ่งของร่างกายเขาเอง แต่มันก้าวเดินอยู่บนวิถีของทักษะขัดเกลากายาเทพอสูรเพียงอย่างเดียว

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ร่างอวตารของเฉินซีก็ได้บรรลุขอบเขตสถิตกายาขั้นสมบูรณ์เมื่อนานมาแล้ว แต่มันก็ไม่สามารถรับรู้ถึงพลังของทัณฑ์สวรรค์ที่จะบรรลุไปสู่ขอบเขตเซียนปฐพี ทั้งที่กาลเวลาก็ผ่านไปนานแล้ว

ความรู้สึกเช่นนี้ ราวกับว่าร่างอวตารของเฉินซีถูกเต๋าแห่งสวรรค์มองข้าม

‘ใช่แล้ว ร่างอวตารคงมีชะตากรรมร่วมกันกับข้า และมันก็เหมือนกับส่วนหนึ่งของร่างกาย เนื่องจากร่างหลักอย่างข้าได้พิชิตทัณฑ์สวรรค์แล้ว นี่อาจรวมถึงร่างอวตารของข้าด้วย บางทีตราบเท่าที่มันขัดเกลาจนถึงขีดสุด มันก็ไม่จำเป็นต้องรับรู้ถึงทัณฑ์สวรรค์อีกต่อไป และคงบรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพีได้อย่างง่ายดาย…’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]