บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 946

บทที่ 946 วิถีอสูร

บทที่ 946 วิถีอสูร

เสียงนั้นทะลวงผ่านโถงใหญ่ มันเต็มไปด้วยความอวดดีหยิ่งทะนง ไม่จำเป็นต้องมองใบหน้าของชุยหมิง ทุกคนก็เข้าใจชัดเจนว่าผู้มาเยือนครานี้เป็นเช่นไร!

ผ่านไปสักพัก ทุกสายตาต่างหันมองออกไปทางด้านนอกห้องโถงใหญ่

เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่มีสมาชิกอยู่ด้วยกันสามคน กำลังก้าวเดินอยู่ในราตรี มุ่งหน้าสู่โถงใหญ่อย่างเกียจคร้าน ผู้นำเป็นชายหนุ่มที่ดูหล่อเหลา มั่งคั่งร่ำรวย เค้าโครงใบหน้าราวกับถูกแกะสลักจากหยก แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายทว่ามีเสน่ห์ให้ทุกคนได้รับรู้

ด้านหลังของเขาตามมาด้วยชายหนึ่งหญิงหนึ่ง พวกเขาคือหลิ่วจวิ้นกับรุ่ยฉิง มหาตุลาการจากวิถีวิญญาณ

เมื่อเห็นสามคนนี้ แม้กระทั่งเฉินซีก็ยังต้องขมวดคิ้ว ในใจรู้ดีว่าพวกเขาอาจจะมาที่นี่เพราะชุยชิงหนิงอีกเป็นแน่

“โอหัง! กล้าบุกรุกจวนเจ้าเมืองยามวิกาลได้อย่างไร!”

“เร็ว รีบจับหัวขโมยนั่นเสีย!”

มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมาจากนอกห้องโถงใหญ่ พวกเขาคือองครักษ์ของจวนเจ้าเมือง สวมชุดเกราะสีดำ กำลังปรี่เข้ามาราวกับคลื่น

เมื่อเห็นดังนั้น ชุยหมิงจึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาลุกขึ้นจากที่นั่ง สะบัดมือแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าถอยไปก่อน!”

องครักษ์ที่เห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อย พวกเขามองชุยหมิง จากนั้นมองคนทั้งสามที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ ก่อนจะพยักหน้ารับคำสั่ง และล่าถอยกลับไป

“ฮ่า ๆ สารเลวพวกนี้นี่ มีตาแต่หามีแววไม่ ดันปฏิบัติกับแขกผู้มีเกียรติในฐานะโจรเสียได้ ช่างเหลวไหลเสียจริง ดีที่คุณชายชุยฝึกมาดี พวกเขาจึงไม่ลงมือตั้งแต่หน้าประตู จนนำปัญหามาสู่จวนเจ้าเมือง”

ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำเงยหน้ามองท้องนภาแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น เผยท่าทีอันไร้ยางอาย ปราศจากความสุภาพ และเต็มไปด้วยกลิ่นอายคุกคามอันทรงพลัง

“หวังฉง เจ้ามาที่นี่เพียงเพื่อจะล้อเลียนคนของข้าหรือ?”

ใบหน้าของชุยหมิงหมองหม่นเล็กน้อย

“ย่อมไม่ใช่ ข้ามาที่นี่เพราะงานเลี้ยง …ได้ยินว่าคุณหนูตระกูลชุยอยู่ที่นี่ แล้วข้าจะไม่มาเยี่ยมเยียนได้อย่างไร?”

หวังฉงหัวเราะ สายตาที่จับจ้องมายังชุยชิงหนิงผู้กำลังนั่งอยู่ราวกับคมมีด เมื่อเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายซีดลงด้วยความหวาดกลัว คล้ายกับไม่สบายใจเล็กน้อย ริมฝีปากของเขาก็อดเผยรอยยิ้มหยันไม่ได้

“ไม่ใช่ว่าเจ้าจะให้เวลาข้าสามวันหรือไร?”

ชุยหมิงมองหลิ่วจวิ้นกับรุ่ยฉิง ไม่ปกปิดโทสะแต่อย่างใด

หากมีแค่พวกเขาสองคน คุณชายหกผู้นี้ย่อมไม่หวาดกลัว แต่คืนนี้มีหวังฉงด้วย จึงต้องระวังให้มาก

หวังฉงผู้นี้คือมหาตุลาการแห่งวิถีอสูร เขาอุทิศตนเพื่อสยบธารโลหิตยมโลกและป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อยมโลก มีวิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนอยู่ในธารโลหิตยมโลก พวกมันเกิดมาจากแรงอาฆาต ความเกลียดชัง ความรังเกียจเดียดฉันท์ โทสะ อัตตา และความกลัว จึงไม่อาจฆ่าให้ตายได้ และทำได้เพียงกำราบไว้ในธารโลหิตเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันสร้างหายนะให้กับโลก

เพราะหวังฉงผู้นี้สังกัดวิถีอสูร เขาจึงประจำการอยู่ที่ชายฝั่งของธารโลหิตยมโลก และด้วยรากฐานการบ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้ากับประสบการณ์ต่อสู้อันโชกโชน คนผู้นี้จึงแข็งแกร่งอย่างน่าสะพรึงกลัว

ดังนั้นเมื่อเขาปรากฏตัวที่นี่ ชุยหมิงจะไม่หวาดกลัวได้อย่างไร?

“ช่วยไม่ได้ ข้ากังวลทั้งวันทั้งคืน หากพี่ชุยจะฉวยโอกาสส่งคุณหนูชุยออกไป นั่นไม่เท่ากับข้าเดินทางมาเสียเที่ยวหรอกหรือ?”

หลิ่วจวิ้นกล่าวช้า ๆ พร้อมกับที่รอยสักวิญญาณร้ายบนหน้าผากส่องแสงชั่วร้ายออกมา

“พวกเจ้าเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว! พวกเจ้ามีสิทธิ์อันใดมาก้าวก่ายเรื่องราวในตระกูลชุยกัน?” ใบหน้าของชุยหมิงมืดมน น้ำเสียงไม่มีความน่าฟังสักนิด

“โอ้ว ข้าต้องขอโทษด้วย การดำเนินการนี้เป็นไปตามที่สมาชิกตระกูลชุยไหว้วานมา ส่วนเป็นใครนั้น คุณชายชุยน่าจะรู้อยู่แก่ใจดีแล้ว”

หวังฉงหัวเราะเสียงดัง ท่วงท่าดูอวดดีนัก

ชุยหมิงตกตะลึง ใบหน้าของเขามืดมนยิ่งขึ้น ทั้งยังดูซีดเซียว สายตาราวกับฆ่าคนได้ นี่คือความขัดแย้งภายในตระกูล! ถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องระหว่างตระกูล แต่ตอนนี้ใครบางคนกำลังสมคบคิดกับคนนอกเพื่อจัดการกับคนร่วมสายเลือดเดียวกัน! …สารเลวยิ่งนัก!

ไม่จำเป็นต้องคาดเดา เขาก็รู้ว่าผู้ใดสามารถทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้ได้ มันจะต้องเป็นผู้อาวุโสรองเป็นแน่ มีเพียงผู้อาวุโสรองที่สามารถลอบติดต่อกับวิถีวิญญาณและวิถีอสูรได้

ชุยชิงหนิง รวมถึงพวกกู่เทียนตกตะลึงและเดือดดาลเช่นกัน จู่ ๆ คนทั้งสามก็เข้ามา และเห็นได้ชัดเลยว่าพวกมันอยากฆ่าคนเต็มแก่แล้ว!

ต้องทราบก่อนว่า ความแข็งแกร่งของคนทั้งสามนี้มากพอที่จะกวาดล้างเมืองในยมโลกได้เลย!

“คุณชายชุย ในเมื่อเจ้าพูดถึงขนาดนี้แล้ว ข้าอาจจะต้องพูดตามตรงด้วยเช่นกัน ขอเพียงเจ้าส่งตัวคุณหนูชุยมา บุคคลสำคัญของตระกูลชุยจะตระเตรียมอนาคตสดใสไว้ให้เจ้าในอนาคต!”

หวังฉงหุบยิ้ม เขาจ้องมองชุยหมิงแล้วกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “หาไม่แล้ว อย่าโทษข้าที่รุนแรงจนเกินไป เจ้าต้องรู้ก่อนว่า ด้วยการบ่มเพาะของเจ้า…ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของพวกข้าได้!”

สิ้นเสียงของเขา ทั่วทั้งจวนพลันเงียบสนิท

หลิ่วจวิ้นกับรุ่ยฉิงกอดอก ชำเลืองมองทุกคนในห้องโถงใหญ่อย่างทะนงตน นอกจากมองเป้ยหลิง รวมถึงกู่เทียนเล็กน้อยแล้ว พวกเขาก็ไม่มองใครอีก

พวกเขาเองก็รู้ดีเช่นกันว่า ภายในห้องโถงใหญ่นี้ นอกจากชุยหมิงแล้ว ยังมีเป้ยหลิงกับกู่เทียนที่ควรค่าให้ความสนใจ แน่นอนว่าแค่ให้ความสนใจ หาได้หวาดกลัวไม่

ด้วยพละกำลังอันภาคภูมิใจของพวกเขา ทำให้มั่นใจว่าหากลงมือขึ้นมา ย่อมสามารถจับคนทั้งสองได้อย่างง่ายดาย

ใบหน้าของชุยชิงหนิงซีดเผือด เรียวคิ้วอันใสซื่อเต็มไปด้วยความกังวลและความหวาดกลัวที่ไม่อาจปกปิดได้ เด็กน้อยอายุสิบเอ็ดถึงสิบสองปี แต่กลับต้องมาฝืนกลั้นอารมณ์ด้วยเพราะไร้พลังอำนาจใด …นางช่างน่าสงสารยิ่งนัก!

เฉินซีลอบถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ไม่ต้องห่วง เชื่อข้าสิ เจ้าคิดเสียว่ามันคือการแสดงดี ๆ ก็พอ”

ชุยชิงหนิงตกตะลึง นางมองสีหน้าปลอบประโลมของเฉินซีที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนที่หัวใจของเด็กสาวจะอบอุ่นอย่างไม่มีสาเหตุ แต่ลึก ๆ นางยังคงกังวลจนไม่อาจวางใจได้อยู่ดี!

เฉินซีรู้เช่นกันว่าหัวใจของเด็กน้อยบริสุทธิ์ผุดผ่องเกินไป นางยังคงเป็นเด็กที่มีประสบการณ์ในโลกไม่มากนัก จู่ ๆ กลับมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นเช่นนี้ เกรงว่าหากเป็นคนธรรมดาย่อมไม่มีทนรับไหวถึงขนาดนี้ได้!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]