บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 974

บทที่ 974 แหวนพิชิตโมฆะ

บทที่ 974 แหวนพิชิตโมฆะ

เฉินซีลุกยืนขึ้นอย่างรวดเร็วและจ้องมองไปยังขอบฟ้าอันไกลโพ้น

เมื่อเขาจ้องมองด้วยเนตรเทวะแห่งความจริง ชายหนุ่มก็เห็นแสงสีแดงเข้มอันน่าหลงใหลอยู่ที่ขอบฟ้า ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะก่อตัวขึ้นจากคลื่นโลหิต มันย้อมมวลเมฆ ท้องฟ้า และแผ่นดินจนเป็นสีแดง

น้ำทะเลขุ่นมัวที่ไร้ขอบเขตดูจะกำลังเดือดพล่าน จากนั้นมันก็กลายเป็นคลื่นมหึมาพุ่งขึ้นฟ้า ซึ่งอาบย้อมท้องฟ้าจนกลายเป็นสีแดงเลือด อีกทั้งยังส่งเสียงดังกึกก้องราวกับเสียงฟ้าผ่า

เลือดย้อมฟ้าดินจนกลายเป็นสีแดง ในขณะที่คลื่นซัดขึ้นไปบนท้องฟ้า!

เมื่อมองจากระยะไกล มันก็เป็นไปตามที่ทังอวิ๋นได้กล่าวไว้ ดูราวกับว่าท้องฟ้าทั้งหมดจะตกลงไปในทะเล และจมอยู่ในเลือดสีแดงสดที่พร่างพราว

ในเวลาเดียวกัน กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวและคุกคามก็แผ่ออกมาจากที่นั่น ซึ่งดูเหมือนปีศาจที่ไร้เทียมทานจะพุ่งออกมาจากก้นทะเลในอีกไม่ช้า

“คลื่นโลหิต!” เหริ่นฉางเฟิงอุทานออกมา ดวงตาของเขาเป็นดุจสายฟ้าสองสายที่ส่องประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ขณะจดจ้องไปยังคลื่นโลหิตที่อยู่ไกลออกไป

“ใต้เท้า อีกนานแค่ไหนกว่ามันจะเริ่มขึ้น?” ทังอวิ๋นดึงคันธนูยาวออกมาและค่อย ๆ ลูบศรสีทองในมือ เขายังคงแสยะยิ้ม แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร อีกทั้งการเคลื่อนไหวของเขานั้นอ่อนโยน ราวกับว่ากำลังลูบใบหน้าของคนรักอยู่

หวังเยี่ยนเม้มปากและยังคงนิ่งเงียบ อย่างไรก็ตาม เขาลอบกำดาบที่ขาวราวกับหิมะในมือเงียบ ๆ ซึ่งมันก็เป็นสมบัติอมตะเช่นเดียวกัน และเป็นดาบที่มีจิตสังหารหนาแน่น

“ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้น เมื่อวิญญาณร้ายตนนั้นพุ่งตัวออกมาในชั่วพริบตา เจ้าทั้งคู่จงขัดขวางมันไว้ ส่วนข้าจะจัดการกับมันเอง” ผมของเหริ่นฉางเฟิงพลิ้วไสว ในขณะที่ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ

“วิญญาณร้ายอันใดหรือ?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถาม ในขณะที่เป้ยหลิงก็งุนงงเช่นกัน

“วิญญาณร้ายนั้นคือผู้ยิ่งใหญ่จากภพพุทธองค์ที่ถูกสยบไว้ในทะเลทุกข์โดยจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามเมื่อหลายปีก่อน มันเป็นเพียงเศษเสี้ยวดวงวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ แต่มันได้รับการฝึกฝนอยู่ใต้ทะเลทุกข์มาเนิ่นนาน ทำให้ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของมันเทียบเท่ากับเซียนสวรรค์ และโคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติก็อยู่ในความครอบครองของมัน” ทังอวิ๋นอธิบายจากทางด้านข้าง แต่เขากลับกำลังมองไปยังเป้ยหลิง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้อธิบายให้เฉินซีฟัง

เฉินซีเข้าใจอย่างรวดเร็ว ทว่าเขาไม่ได้คิดใส่ใจท่าทางที่หยาบคายของทังอวิ๋นแต่อย่างใด

“ระวังตัวไว้ วิญญาณร้ายนั่นกำลังจะโผล่ออกมา อย่าได้ส่งเสียง ข้าจะปกป้องเราด้วยม่านพลังวิญญาณสวรรค์เก้าดารา ดังนั้นเราไม่ต้องกังวลว่าจะถูกพบเห็น ส่วนเรื่องอื่นแค่ฟังคำสั่งของข้าก็พอ!”

ขณะที่เขากล่าว เหริ่นฉางเฟิงก็พลิกฝ่ามือขึ้น ทำให้เกิดม่านพลังที่ดูเหมือนขัดเกลาจากมวลหมู่ดาวลอยขึ้นไปกลางอากาศ และมันเปล่งรัศมีแห่งสวรรค์ปกคลุมทุกคนที่อยู่ในนั้น

ทันใดนั้น ร่างของพวกเขาดูจะเลือนหายไปในอากาศ และแม้แต่กลิ่นอายของพวกเขาก็ถูกแยกออกไป มันจึงน่ามหัศจรรย์มาก

ม่านพลังวิญญาณสวรรค์เก้าดารานี้ย่อมเป็นสมบัติล้ำค่าในการปกปิดตัวตน

แสงสีเลือดส่องประกายแวววาวจากในระยะไกล และทอดยาวออกไปทั่วทั้งท้องฟ้า

น้ำทะเลขุ่นมัวถูกพลิกกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า เหมือนกับกระแสน้ำที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นชั้น ๆ ปรากฏเป็นภาพที่แปลกประหลาดมาก และกลิ่นอายที่กดดันที่มันแผ่ออกมาก็รุนแรงยิ่งขึ้น

ฟิ้ว!

หลังจากนั้นไม่นาน ร่างสูงสี่จั้งก็พุ่งตัวออกมาจากก้นทะเล

ทันใดนั้นฟ้าดินทั้งหมดก็เดือดพล่าน ทะเลสั่นกระเพื่อม ขณะที่แสงสีเลือดพุ่งออกไปทุกทิศทาง และทำให้ร่างนี้ดูเหมือนปีศาจที่ไร้เทียมทาน

เมื่อลองสังเกตดี ๆ ก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เพราะร่างนั้นคือหลวงจีนที่มีใบหน้าเปี่ยมด้วยความเมตตา มีแววตาแจ่มใส หน้าผากใสสะอาดที่เปี่ยมด้วยรัศมีแห่งปัญญา

แต่ร่างของเขากลับถูกคลุมด้วยจีวรเปื้อนเลือด และปักด้วยลวดลายที่น่าสะพรึงกลัว เช่น อสูร วิญญาณร้าย วิญญาณพยาบาท และอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีแม้แต่สายประคำที่ขัดเงาจากกระดูกที่ห้อยอยู่ที่คอของเขา ซึ่งแต่ละลูกก็ดูเหมือนหัวกะโหลกของปีศาจ อีกทั้งยังเผยให้เห็นรูปร่างที่บิดเบี้ยวและดุร้าย

นี่เป็นหลวงจีนที่แปลกประหลาดมาก ใบหน้าของเขาเปี่ยมด้วยความเมตตา สงบ และเผยให้เห็นถึงรัศมีแห่งปัญญา ทว่าร่างกายของเขากลับถูกห่อหุ้มด้วยจีวรและเครื่องประดับอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งแผ่ความเย็นไปถึงสันหลัง

หลวงจีนองค์นี้ไม่ใช่พุทธ ไม่ใช่ผี ไม่ใช่มนุษย์หรือมาร กลิ่นอายที่เขาเปล่งออกมานั้นดูเมตตา แต่กลับแฝงกลิ่นอายที่มืดมนและโหดเหี้ยม ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัว

“กลิ่นอายร้ายกาจอะไรเช่นนี้!”

ดวงตาของเฉินซีจดจ่อ ในขณะที่เขาสังเกตเห็นทันทีว่า ร่างกายของหลวงจีนเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองมหาศาล และอีกฝ่ายถูกสร้างขึ้นจากเศษเสี้ยวของดวงวิญญาณ ซึ่งปราศจากร่างกายที่เป็นเนื้อหนัง

ถึงอย่างนั้น กลิ่นอายของหลวงจีนก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์เลย!

เขาไม่กล้าจินตนาการเลยว่า การบ่มเพาะของผู้ยิ่งใหญ่จากภพพุทธองค์จะน่ากลัวเพียงใด เมื่อตอนที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ ก่อนที่จะถูกสังหารที่นี่เมื่อหลายปีก่อน

“อมิตาภพุทธ เลือดของทวยเทพนั้นไม่ยอมสยบให้กับผู้ใด มันตั้งใจที่จะทะลวงผ่านท้องฟ้าและหลบหนี แต่นี่จะเป็นการเสียประโยชน์อย่างแท้จริง เหตุใดถึงไม่กลายเป็นอวัยวะภายในของอาตมาผู้ยากไร้ เผื่ออาตมาจะได้เติมเต็มท้องให้อิ่ม บางทีอาตมาอาจฝ่าพันธนาการเหล่านี้และกลับสู่แดนพุทธภูมิได้”

ทันทีที่หลวงจีนปรากฏกายขึ้น เขาก็เปล่งเสียงสวดมนต์เป็นพุทธบูชาด้วยท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา และดูเหมือนหลวงจีนต้องการจะปลดปล่อยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ ด้วยการพลิกฝ่ามือ โคมสัมฤทธิ์ก็ปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามือของเขา

โคมนี้มีความสูงประมาณสิบสองชุ่น และมีคราบสนิมเกรอะกรังเต็มไปหมด ทำให้ลวดลายต่าง ๆ บนพื้นผิวพร่าเลือน

ไส้ตะเกียงเป็นเหมือนลูกปัดที่แกว่งไปแกว่งมาไม่มีสิ้นสุด และถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีขาวหยกที่นุ่มนวล แสงที่เปล่งออกมานั้นสลัว อีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะดับลงในอีกชั่วขณะ

แต่เมื่อมันปรากฏขึ้น คลื่นโลหิตและพายุในทะเลใกล้เคียงก็ดูจะหวาดกลัว พวกมันต่างค่อยถอยห่างออกไปอย่างช้า ๆ

“โคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติ! เป็นมันจริง ๆ!” ดวงตาของเหริ่นฉางเฟิงส่องประกายแสงที่หนาแน่นและร้อนแรงออกมา

จิตวิญญาณของทังอวิ๋นและหวังเยี่ยนก็ปลอดโปร่งเช่นกัน พวกเขาตื่นเต้นอย่างมาก เพราะนั่นเป็นพุทธศาสนสมบัติโบราณที่ครั้งหนึ่งเคยถูกครอบครองโดยตัวตนสูงส่งจากภพพุทธองค์ ดังนั้นจะเทียบกับสมบัติโบราณธรรมดาได้อย่างไร?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]