บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 973

บทที่ 973 โคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติ

บทที่ 973 โคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติ

ทะเลทุกข์นั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต

การเข้าไปในนั้นเป็นเหมือนกับการเข้าสู่โลกอีกใบหนึ่ง พายุคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวในขณะที่เกลียวคลื่นอันน่าหวาดหวั่นพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า และเมฆสีดำสนิทที่หนาทึบเป็นเหมือนภูเขามหึมาปกคลุมท้องฟ้า ซึ่งหลั่งไหลไปด้วยสายฟ้าที่น่าสะพรึงกลัวมากมาย

บรรยากาศบริเวณนี้มีสัญญาณของการพังทลายอยู่แทบตลอดเวลา และมันก็เหมือนเศษแก้วที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ปรากฏเป็นภาพอันน่าสยดสยองให้ได้เห็น

สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ วิญญาณพยาบาท วิญญาณดุร้าย และสัตว์น้ำที่น่าสะพรึงกลัวบางตัวที่มีรูปลักษณ์ดุร้าย มักจะลอยขึ้นมาจากในทะเลและออกอาละวาดไปทั่วบริเวณโดยรอบ ทำให้ทะเลแห่งนี้เป็นเหมือนนรก!

ครืน!

ณ ทะเลอันกว้างใหญ่ซึ่งถูกปกคลุมด้วยพายุฝน มีร่างห้าร่างกำลังต่อสู้กับ ‘สัตว์อสูรวิญญาณทะเล’ ด้วยท่าทางดุร้าย

ทังอวิ๋นถือธนูยาวในมือ เขาง้างคันธนูครั้งแล้วครั้งแล้ว และทำให้ลูกธนูพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ยิงไปทางสัตว์อสูรวิญญาณทะเลจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง

มันย่อมคือธนูระดับสมบัติอมตะ ลูกธนูเปรียบเสมือนลำแสงที่น่าทึ่งซึ่งขดตัวเป็นเกลียวด้วยปราณเซียน พวกมันมีพลังทะลุทะลวงที่น่าสะพรึงกลัว และสามารถฉีกท้องฟ้าออกจากกันได้อย่างง่ายดาย

น่าเสียดาย แม้ว่าลูกธนูจะเหมือนกับสายฟ้าที่ฉับไว แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของสัตว์ร้ายเหล่านี้ยังรวดเร็วยิ่งกว่า พวกมันหลบเลี่ยงการโจมตีของทังอวิ๋นได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่พวกมันหลายตัวก็กำลังโจมตีเขาด้วยความตั้งใจที่จะฉีกกระชากทังอวิ๋นเป็นชิ้น ๆ

หวังเยี่ยนถือดาบสีขาวดุจหิมะฟาดฟันไปมาในท้องฟ้า บีบบังคับสัตว์ร้ายทั้งหมดที่โจมตีเข้ามาให้ถอยร่นไป เขารับผิดชอบความปลอดภัยของทังอวิ๋น การร่วมมือระหว่างพวกเขาสอดประสานเป็นอย่างดี

ณ ใจกลางสนามรบ เหริ่นฉางเฟิงต่อสู้ด้วยมือเปล่า อานุภาพพลังของเขาเสมือนเทพเจ้าจุติลงมาบนโลกมนุษย์ มันทั้งดุร้ายและควบคุมยาก ซึ่งทุก ๆ กระบวนท่าแฝงไปด้วยพลังของกฎที่น่าสะพรึงกลัว ทำให้สามารถทำลายล้างสัตว์อสูรวิญญาณทะเลได้มากมายนับไม่ถ้วน

แต่ทว่ามีสัตว์อยู่มากมายในฝูงนี้ พวกมันปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน และไม่สามารถระบุจำนวนที่แท้จริงได้ แต่การมีอยู่ของเหริ่นฉางเฟิงที่พยายามลดจำนวนสัตว์ร้ายเหล่านี้เป็นจำนวนมาก ก็ช่วยลดภาระให้กับทุกคนได้

ส่วนเป้ยหลิงกับเฉินซีต่างเข่นฆ่าสังหารมุ่งเข้าไปในสนามรบแทน

เป้ยหลิงไม่ยั้งมือเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากการบ่มเพาะของนางมีระดับต่ำที่สุดในกลุ่ม แต่พลังในการต่อสู้ที่เทียบเท่ากับขอบเขตเซียนปฐพีระดับเจ็ดของนาง ก็พอจะดึงดูดความสนใจของเหริ่นฉางเฟิงและคนอื่น ๆ ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้พวกเขาทั้งหมดประหลาดใจอย่างมาก

มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่ยั้งมือไว้ได้ เขาลงมือสังหารแค่สัตว์อสูรวิญญาณทะเลเหล่านี้เมื่อพวกมันโจมตีเข้ามา ซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบัน ชัยชนะได้อยู่ในกำมือของพวกเขาแล้ว ดังนั้นเฉินซีจึงไม่จำเป็นต้องพยายามมากนัก

“ทะเลทุกข์นี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการลืมเลือน และแม้แต่สัตว์เหล่านี้ที่ก่อตัวขึ้นจากวิญญาณพยาบาท ก็ยังมีกลิ่นอายแห่งการลืมเลือนอยู่จาง ๆ…”

‘ช่องเขาพระราหูนั่นมีผลปารมิตา ข้าสงสัยว่าทะเลทุกข์นี้จะมีสมบัติที่มีคุณสมบัติของเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือนด้วยหรือไม่ มันคงจะวิเศษมาก หากข้าสามารถคว้าโอกาสนี้เพื่อบรรลุเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือนได้อย่างถ่องแท้…’

‘แต่สถานที่แห่งนี้ก็อันตรายจริง ๆ มันปกคลุมไปด้วยห้วงมิติที่พังทลายและสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย หากคนธรรมดาก้าวเข้าไปในทะเลแห่งนี้ คนผู้นั้นคงต้องตายไปนานแล้ว…’

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ในใจขณะจัดการกับสัตว์ร้ายเหล่านี้

พวกเขาได้เข้าไปในทะเลทุกข์เป็นเวลาสองวันแล้ว และพวกเขาก็พบกับอันตรายมากมายตลอดทาง แต่ภายใต้การนำของเหริ่นฉางเฟิง ทั้งคณะจึงเอาชนะอันตรายทั้งหมดที่เผชิญได้

ถ้าเป็นคนธรรมดามาที่นี่แทน ก็คงจะถูกฝังอยู่ในทะเลทุกข์ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไป

แต่ถึงอย่างไร กลุ่มของพวกเขาก็รวมตัวกันจากเซียนสวรรค์ ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปด และผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหกหนึ่งคน ซึ่งแม้แต่กลุ่มที่ทรงพลังเช่นนี้ก็ยังต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง และไม่กล้าเคลื่อนไหวอย่างผลีผลาม ดังนั้นจึงเป็นที่ประจักษ์ว่าทะเลทุกข์นั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด

เช่นเดียวกัน สัตว์อสูรวิญญาณทะเลตรงหน้าพวกเขาก็เป็นสัตว์ร้ายที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งก่อตัวขึ้นจากวิญญาณพยาบาท พวกมันทั้งหมดมีกลิ่นอายร้ายกาจ และตัวที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกมัน ก็มีความแข็งแกร่งที่เทียบเท่ากับขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่ ดังนั้นเมื่อพวกมันถาโถมเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน พลังคุกคามที่พวกมันเผยออกมานั้นก็น่าตกตะลึงถึงขีดสุด

ปัง! ปัง! ปัง!

การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป และมีสัตว์อสูรวิญญาณทะเลส่งเสียงร้องโหยหวนไม่หยุดหย่อนขณะที่พวกมันล้มตาย เพราะถูกสังหารด้วยลูกธนู ไม่ก็ถูกดาบผ่าร่างออกจากกัน หรือถูกเหริ่นฉางเฟิงคว้าจับโดยตรง ซึ่งถูกพรากชีวิตไปพร้อมกับสัตว์ร้ายอื่น ๆ อีกกว่าสิบตัว

หลังจากผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา ในที่สุดสัตว์ร้ายเหล่านี้ก็ถูกทำลายล้างอย่างสมบูรณ์ พวกมันได้กลายเป็นปราณชั่วร้ายและทะเลเลือดที่ปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน

ทะเลที่กว้างใหญ่นี้กลับคืนสู่ความสงบ เฉินซีกวาดตามองไปรอบ ๆ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความโล่งอก พร้อมกับหยุดครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

“แม่นางเป้ยหลิงมีฝีมือที่ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง อีกทั้งยังแข็งแกร่งเป็นพิเศษ” ทังอวิ๋นยิ้มขณะที่เขาเดินเข้ามา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมและความปรารถนาอันแรงกล้า เพราะหญิงสาวอย่างเป้ยหลิงผู้เย็นชานี้งดงามอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ และมีพลังในการต่อสู้ที่น่าทึ่ง นางจึงย่อมเป็นที่ได้รับความสนใจและความชื่นชม ไม่ว่านางจะไปที่ใดก็ตาม

หวังเยี่ยนที่อยู่ใกล้เคียงก็เผยท่าทางเห็นด้วยเช่นกัน โดยไม่คำนึงถึงภพมนุษย์หรือยมโลก พวกเขาล้วนปฏิบัติตามหลักการเคารพในความแข็งแกร่ง ถึงแม้การบ่มเพาะของเป้ยหลิงจะอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหกเท่านั้น แต่กลับสามารถใช้พลังต่อสู้ที่เทียบเท่ากับขอบเขตเซียนปฐพีระดับเจ็ดได้ มันจึงน่าทึ่งอย่างแท้จริง!

เป้ยหลิงไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ และนางเพียงแค่มองไปยังเฉินซีซึ่งกำลังสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ พร้อมกับครุ่นคิดในใจว่า ‘พวกเจ้าทุกคนไม่เคยเห็นการต่อสู้ของชายคนนั้น มิฉะนั้น พวกเจ้าจะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน …’

ในขณะเดียวกัน เหริ่นฉางเฟิงก็เดินเข้ามาและมองไปทางเป้ยหลิง ก่อนที่จะกล่าวว่า “ฝีมือของเจ้าไม่เลวจริง ๆ หากเจ้าสนใจ เจ้าสามารถเข้าร่วมหอการค้าสัพพัญญูของข้า และข้าจะชี้แนะการบ่มเพาะให้แก่เจ้าด้วยตัวเองได้”

ทันทีที่คำเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา ทั้งทังอวิ๋นและหวังเยี่ยนต่างแสดงท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย เพราะพวกเขาดูจะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเหริ่นฉางเฟิงจะประเมินหญิงสาวผู้งดงามตรงหน้าไว้สูงขนาดนี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]