บทที่ 1001 กระแสการรับทะเบียนบ้าน
ฉินเฟิงถามเสียงเบา “ท่านพ่อของเจ้าเล่า?”
เด็กสาวก้มหน้าลง ท่าทีอึกอักลังเล เหมือนจะมีเรื่องที่พูดยาก
ฉินเฟิงจึงรีบปลอบ “ไม่ต้องกลัว มีอะไรก็พูดออกมาได้เลย เจ้ายังเด็ก ถึงพูดผิดไปข้าก็จะไม่ลงโทษเจ้า”
เมื่อได้ยิน นางก็รวบรวมความกล้ ตอบเสียงเบา “ท่าน… ท่านพ่อออกไปเป็นทหารข้างนอก”
พอได้ยินคำพูดนี้ หนิงหู่และคนอื่น ๆ ก็ระแวดระวังมากขึ้น ฉินเฟิงใจหาย ตามหลักแล้ว ผู้ที่มีภูมิหลังทางการทุกคนจำเป็นต้องระมัดระวัง ไม่สามารถออกเอกสารทะเบียนบ้านอำเภอเป่ยซีให้ได้โดยง่าย
บิดาของจางเม่ยเข้าร่วมกองทัพย่อมถือว่ามีภูมิหลังทางการ
ตามกฎระเบียบฉินเฟิงจำเป็นต้องยกเลิกคุณสมบัติในการรับเอกสารทะเบียนบ้านของครอบครัวเด็กสาว เพราะในอนาคตหากไปยังอำเภอเป่ยซี การมีความสัมพันธ์เช่นนี้ก็เท่ากับฝังปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดความไม่มั่นคงที่แฝงอยู่ในอำเภอเป่ยซี
แต่เมื่อมองสภาพอันน่าสงสารของจางเม่ย ฉินเฟิงไม่อาจใจร้ายได้
“ในเมื่อบิดาของเจ้าออกไปรับราชการทหารภายนอก เหตุใดครอบครัวของพวกเจ้าจึงลำบากยากเข็ญ?” ฉินเฟิงพิจารณาเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรอยปะของจางเม่ย
จางเม่ยเช็ดน้ำตา สะอื้นตอบ “ใต้เท้า บิดาของข้าไม่ได้กลับมาหลายปี ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
“ตอนนี้ครอบครัวเราพึ่งพาท่านแม่รับจ้างซ่อมแซมเสื้อผ้าให้ผู้อื่นประทังชีวิต ข้าได้ยินมาว่าหากไปที่อำเภอเป่ยซีจะไม่ต้องอดอยากจึงมาลองเสี่ยงโชค…”
เมื่อได้รู้ถึงชะตากรรมของครอบครัวจางเม่ย ฉินเฟิงสลดใจ ไม่ว่าบ้านเมืองจะรุ่งเรืองหรือล่มสลาย ประชาชนก็ต้องทุกข์ยากเสมอ
แม้แต่ประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้เมืองหลวงยังมีชีวิตลำบาก แล้วประชาชนที่อยู่ห่างไกลจะเป็นอย่างไร? ในฐานะผู้ริเริ่มสงคราม ฉินเฟิงแม้จะไม่ถึงกับรู้สึกผิดแต่ก็เห็นอกเห็นใจอย่างลึกซึ้งต่อสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนเหล่านี้
ฉินเฟิงเรียกหลิ่วหมิงมาข้างกาย แล้วถามเสียงเบา “ครอบครัวที่มีฐานะเช่นจางเม่ยจะได้รับทะเบียนบ้านอำเภอเป่ยซีหรือไม่?”
หลิ่วหมิงตอบว่า “เพื่อความปลอดภัย ทางที่ดีที่สุดคือไม่ออกให้ แต่เมื่อพิจารณาว่าบิดาของนางผู้นี้ยังไม่ทราบชะตากรรม ทั้งครอบครัวไม่มีอาหารจะกิน พื้นเพก็ค่อนข้างสะอาดก็อาจละเว้นได้ขอรับ”
หลิ่วหมิงจะไม่รู้ความตั้งใจของฉินเฟิงได้อย่างไร
เมื่อฉินเฟิงเอ่ยปากถามแสดงว่าในใจได้ตัดสินแล้วว่าจะออกทะเบียนบ้านให้กับครอบครัวของเด็กสาว หลิ่วหมิงในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมต้องเห็นด้วยกับฉินเฟิงเป็นธรรมดา อีกอย่างจางเม่ยผู้นี้ก็ไม่มีพิษภัย เมื่อครอบครัวของนางย้ายไปอำเภอเป่ยซีก็จะตัดขาดการติดต่อกับเป่ยตี๋ไปเอง
ไม่ต้องพูดถึงการย้ายจากเป่ยตี๋ไปแคว้นต้าเหลียง แค่ย้ายไปอำเภอที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้ สำหรับชาวบ้านธรรมดาส่วนใหญ่ก็เหมือนกับอยู่คนละฟากฟ้า
ส่วนบิดาของจางเม่ย ข่าวคราวขาดหายไปนาน ความเป็นไปได้เก้าในสิบคงเสียชีวิตในสงครามแล้ว
ครอบครัวจางเม่ยมีห้าคน มารดาหนึ่งคน ลูกสี่คน การรอต่อไปไม่มีความหมาย
เมื่อหลิ่วหมิงพยักหน้าเห็นด้วย ฉินเฟิงก็ไม่กังวลแล้ว เขาเรียกจางเม่ยมาตรงหน้าและลงนามเอกสารทะเบียนบ้านให้แก่ครอบครัวของจางเม่ยด้วยตนเอง เนื้อหาของเอกสารทะเบียนบ้านแท้จริงแล้วก็ง่ายดายมาก ส่วนใหญ่เป็นการลงทะเบียนสถานการณ์ของครอบครัวจางเม่ย รวมถึงเพศ อายุ และชื่อของแต่ละคน ตลอดจนข้อมูลพื้นฐานอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วยวันที่ออกเอกสาร เท่านี้ก็ถือว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว
เนื่องจากอำเภอเป่ยซีมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบโดยเฉพาะ ลายมือของฉินเฟิงไม่สามารถปลอมแปลงได้ ดังนั้นเพียงแค่ฉินเฟิงลงนาม เอกสารก็มีผลบังคับใช้ เมื่อถึงเวลาไปอำเภอเป่ยซี หลี่จางและเจ้าหน้าที่อำเภอทั้งหลายก็จะออกทะเบียนบ้านอย่างเป็นทางการให้กับผู้ที่ได้รับเอกสารทะเบียนบ้านเหล่านี้อีกครั้ง
เมื่อฉินเฟิงส่งเอกสารทะเบียนบ้านให้กับจางเม่ย นางแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ