บทที่ 1007 ติดอาวุธจนถึงฟัน
หิมะขาวโปรยปรายลงมาดั่งขนห่านทำให้การต่อสู้ที่ดำเนินมาหลายวันต้องหยุดชะงัก เฉินซือไม่รู้ว่าควรดีใจหรือควรสิ้นหวัง
ด้านที่น่ายินดีคือ เหล่าทหารใต้บังคับบัญชาในที่สุดก็ได้พักหายใจหายคอ แต่ด้านที่น่าสิ้นหวังคือ ภายใต้อิทธิพลของหิมะที่ตกหนัก พลาธิการยิ่งไม่สามารถขนส่งขึ้นมาได้ หิมะครั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างน้อยสี่ถึงห้าวัน ขณะที่เสบียงของกองทัพจะประทังได้เพียงสามวัน หมายความว่า ข้าศึกไม่จำเป็นต้องบุกโจมตี เแค่รอคอย กองทัพของเฉินซือก็จะพังทลายไปเอง
เฉินซือรู้ดีใ การรบครั้งนี้หากสู้ต่อไปก็ไร้ความหมาย ฝ่ายตนพ่ายแพ้อย่างแน่นอนแล้ว
แต่ฮ่องเต้เป่ยตี๋มีพระบัญชาเด็ดขาด แม้จะต้องสู้จนเหลือทหารเพียงคนเดีย ก็ต้องหยุดยั้งการรุกคืบของข้าศึกให้ได้
ตั้งแต่แรกเริ่มการถอยทัพไม่อยู่ในทางเลือก เมื่อเผชิญกับหิมะแห่งความตายครั้งนี้ แม้แต่เฉินซือก็ต้องถอนใจหายอย่างจนปัญญาแล้ว หรือสวรรค์ประสงค์จะทำลายเป่ยตี๋จริง ๆ?
อู๋คังและจิ่งเผิงเองต่างรู้ดีแก่ใจ พวกเขาพ่ายแพ้แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่อาจเสนอคำว่าถอยทัพได้
แม้จะต้องพ่ายยับเยิน พวกเขาก็ต้องฝืนสู้จนถึงที่สุด
และความจริงพวกเขาก็รู้ว่าตนคงไม่มีโอกาสได้เห็นภาพกองทัพถูกทำลายยับเยิน เพราะหลังจากผ่านไปสามวัน เสบียงจะขาดแคลน ขวัญกำลังใจทหารจะสั่นคลอน พอถึงวันที่สี่อาจเกิดการกบฏในกองทัพ แม้จะปราบปรามอย่างเต็มที่ ปต่พอถึงวันที่ห้า ความสิ้นหวังก็จะแผ่ขยายครอบงำทั้งกองทัพได้
อู๋คังมองกองไฟที่ลุกโชนพลางพึมพำ”ใต้หล้านี้ แม่ทัพที่ข้าเคารพนับถือมีเพียงสองคน คนหนึ่งคือท่านแม่ทัพเฉิน อีกคนก็คือฉินเฟิง”
“ท่านแม่ทัพเฉิน ท่านไม่ได้แพ้ให้ฉินเฟิงแต่แพ้ให้กับสภาพอากาศ แพ้ให้กับสถานการณ์”
หลังจากยอมรับความจริงที่ว่า พ่ายแพ้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แม่ทัพทั้งสามคนก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย
เฉินซือส่ายหน้าพลางยิ้มขื่น “ข้าเคยคิดว่าศึกใหญ่ครั้งนี้จะได้ตัดสินแพ้ชนะกับฉินเฟิงเสียที น่าเสียดายที่ยังไม่ทันได้ต่อสู้ ข้าก็พ่ายแพ้แล้ว จนถึงตอนนี้ยังไม่มีโอกาสได้พบหน้าฉินเฟิง เกรงว่าชาตินี้คงไม่มีวาสนาได้พบกันแล้ว”
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า ตามรายงานของสายลับ กองทัพศัตรูทำอะไรตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา?”
เมื่อเห็นสายตาฉงนของอู๋คังและจิ่งเผิง เฉินซือก็กล่าวว่า “กองทัพศัตรูสร้างเตาไฟตลอดทั้งคืน ในกองทัพพวกเขาต้องมีผู้เชี่ยวชาญการดูดวงดาวอยู่ไม่น้อยจึงรู้ว่าหิมะใหญ่กำลังจะมา ดังนั้นหลังจากยุติการโจมตี พวกเขาก็ตั้งกระโจมสร้างเตาไฟ ย่างเนื้อ ต้มชา เก็บเรี่ยวแรง”
อู๋คังกับจิ่งเผิงนิ่งเงียบ เฉินซือกล่าวต่อ “ตั้งแต่สามวันก่อน แม่ทัพทางแนวรบตะวันตกก็รายงานมาแล้วว่า ศึกครั้งนี้ไม่สามารถรบต่อไปได้ มีเพียงการถอยทัพจึงจะรักษากำลังพลไว้ได้”
“ข้าคำนึงถึงผลกระทบจึงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้”
“ฮ่า ๆ กองทัพฝั่งตะวันตกปะทะกับกองกำลังรบไกลเป่ยซีนำร่างทหารเป่ยซีกลับมาจากสนามรบได้หนึ่งศพ”
“ทหารผู้นี้สวมเกราะเบา แต่เกราะอกถูกเสริมความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ไม่กระทบต่อการเคลื่อนไหว ทั้งยังให้การป้องกันสูงสุด สุดท้ายเขาตายด้วยอาวุธไร้คม ทั่วร่างมีลูกธนูปักอยู่ถึงแปดดอก”
“ความกล้าหาญไม่กลัวตายเป็นเพียงหนึ่งในคุณสมบัติของเขา”
แม่ทัพแนวรบตะวันตกมีคำสั่งให้คนถอดอุปกรณ์ทั้งหมดของทหารเป่ยซีผุ้นั้นออกมา พบว่านอกจากเกราะแล้ว ยังมีมีดสั้นหนึ่งเล่ม หอกยาวหนึ่งเล่ม คันธนูสั้นหนึ่งคัน และลูกธนูสิบหกดอก ลูกธนูแบ่งเป็นสองประเภท เป็นลูกธนูที่ออกแบบหัวธนูมาสำหรับหทารเกราะเบาแปดดอก ลูกธนูออกเจาะเกราะสำหรับเกราะหนักโดยเฉพาะแปดดอก นอกจากนี้ยังมีน้ำเต้าสำหรับใส่น้ำหนึ่งลูก น้ำเต้าสำหรับใส่สุราหนึ่งลูก และถุงใส่เสบียงสองใบ”
“แม้น้ำเต้าใส่สุราจะมีขนาดเล็ก แต่ภายในบรรจุสุรากลั่นรสแรงที่ฉินเฟิงกลั่นเอง สุราเหล่านี้จะช่วยให้ทหารสามารถคลายหนาวได้ในยามที่ขาดการสนับสนุนด้านเสบียงจากส่วนกลาง”
“ในถุงเสบียงมีข้าวฟ่างคั่ว ขนมแป้งนึ่ง และเนื้อแห้งขนาดเท่ากับเมล็ดของผลซิ่งสิบชิ้น”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ