บทที่ 1009 ยิ่งเปรียบเทียบกันยิ่งน่าตายนัก
ทหารลาดตระเวนที่อยู่ริมค่ายทหารกอดแหลนไว้ในอ้อมแขน ขดตัวเป็นก้อน ทั้งห้าคนรวมตัวกัน พยายามต้านทานหิมะที่ตกลงมาและลมหนาวเสียดกระดูกพลางล้วงข้าวฟ่างคั่วแห้งออกมาจากถุงผ้าแล้วยัดเข้าปาก
ข้าวฟ่างคั่วแห้งเก็บไว้ได้นาน แต่แทบไม่มีรสชาติอะไรเลย ทั้งยังแห้งมาก
เมื่อยัดเข้าปากไปก็เหมือนน้ำลายในปากถูกข้าวฟ่างดูดจนแห้งหมด ตั้งแต่ลิ้นไปจนถึงลำคอแห้งผาก ทรมานจนอยากตาย
แต่ถึงจะเป็นข้าวฟ่างคั่วแห้งก็ไม่อาจกินอย่างเต็มที่ได้
เสบียงพวกนี้ล้วนขนส่งมาจากแนวหลังด้วยความยากลำบาก ห้าคนได้รับแจกเพียงวันละหนึ่งชั่ง หมายความว่าคนละสองเหลี่ยง ต้องประทังความหิวทั้งเช้า กลางวัน เย็น ด้วยเสบียงจำนวนนี้
ตรงหน้าทหารลาดตระเวนมีแสงสลัวกะพริบวูบวาบ
กลิ่นหอมของเนื้อย่างลอยมาพร้อมสายลมยามราตรี
ทหารหนุ่มคนหนึ่งบ่นด้วยความไม่พอใจ “เปรียบเทียบกันแล้วช่างน่าตายนัก พวกเราต้องทนหิวโหย ส่วนพวกเขากลับสุขสบาย มีเนื้อให้กินด้วย”
“แค่เนื้อหรือ ยังมีผักด้วย!” ทหารผ่านศึกข้าง ๆ กลืนน้ำลายก่อนพูดเสียงทุ้ม
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ผัก’ สีหน้าของทหารอีกสี่คนชัดเจนว่าไม่อยากจะเชื่อ
ผัก?
ไม่ต้องพูดถึงทหาร แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาที่อยู่หลังแนวรบ ในฤดูหนาวเช่นนี้ก็ยังไม่มีผักให้กิน
อีกฝ่ายขนส่งผักมาถึงแนวหน้าได้อย่างไร? เรื่องนี้น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
ทหารผ่านศึกถอนหายใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความใฝ่ฝันและความอิจฉา “ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าอยู่ในกองทัพเดิม ระหว่างที่สู้รบกับกองทัพศัตรู พวกข้าเคยล้อมโจมตีกองเสบียง ข้าฟันกระสอบป่านด้วยดาบ ผลปรากฏว่ามีของหลากสีหลายชนิดร่วงออกมามากมาย”
“พอข้าหยิบขึ้นมาดูปรากฏว่าเป็นผักแห้ง! ผักแห้ง เพียงแค่แช่น้ำก็จะกลับมาสดเหมือนเดิม”
“ของพวกนี้ในฤดูหนาวมีแต่ตระกูลใหญ่เท่านั้นที่จะได้กิน แต่พวกเขากลับขนมาเป็นเสบียงทหาร ฮึ นี่การรบที่ไหนกัน ชัดเจนว่ามาเพื่อความสำราญ”
ได้ยินคำพูดของทหารผ่านศึก เหล่าทหารที่อยู่ในที่นั้นต่างอ้าปากค้าง การที่ฝ่ายตรงข้ามมีเนื้อกินก็แปลกประหลาดพอแล้ว ไม่นึกว่าจะมีผักด้วย
ฉินเฟิงคงเลี้ยงแม่ไก่ที่ออกไข่เป็นทองคำไว้กระมัง? หากไม่ใช่ฉินเฟิงจะมีเงินมากมายขนาดนี้มาจากที่ใด ถึงขนาดให้กองทัพของตนกินอาหารหรูเช่นนี้ในแนวหน้า?
หากกล่าวว่ากองทัพเป่ยตี๋ใช้เงินสามแสนตำลึงเป็นเสบียงสำหรับเวลาสามเดือนของทหารหนึ่งหมื่นคน กองทัพของฉินเฟิงที่มีจำนวนทหารเท่ากันก็คงต้องใช้เงินอย่างน้อยหนึ่งล้านตำลึงสำหรับเวลาสามเดือน
ไม่ใช่การทำสงครามแล้ว เป็นการประลองกำลังเงินชัด ๆ
ทหารผ่านศึกสั่นเทาด้วยความหนาว มองไปยังค่ายข้าศึกที่สว่างไสวอยู่ไกล ๆ พลางถอนหายใจ “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าทหารฝั่งตรงข้ามสวมเสื้อผ้ากี่ชั้น?”
ทหารผ่านศึกชูนิ้วขึ้นสี่นิ้วทำท่าประกอบ
“ชั้นนอกสุดคือเกราะ ถัดเข้าเข้าไปหนึ่งชั้นเป็นเสื้อคลุม อีกชั้นเป็นเสื้อผ้าป่าน และชั้นในสุดคือเสื้อซับใน ยังไม่พอ! ทหารฝั่งตรงข้ามห้าคนจะได้รับกระโจมหนึ่งหลัง”
“ข้าได้ยินมาว่า นอกจากกระโจมหนึ่งหลังยังได้รับผ้าห่มอีกสองผืน สองคนเข้าเวรยาม หนึ่งคนยืนเฝ้า อีกสองคนห่มผ้าพักผ่อน สลับหมุนเวียนกันไป”
เมื่อได้ยินคำพูดของทหารผ่านศึก สายตาของทหารหนุ่มทั้งสี่คนไม่ได้มีแค่ความอิจฉาแล้ว ต่างมีความแค้นเคืองผุดขึ้นมาด้วย ไม่นานก็ด่าทอออกมาว่าสงครามนี้ช่างไร้ความหมาย
ศัตรูได้กินอิ่มนอนอุ่น ส่วนพวกเขาต้องทนหิวโหย ทนทุกข์กับสายลมหนาว ไม่ทันได้เริ่มรบ ก็มีคนตายเพราะความหนาวและความหิวไปนับไม่ถ้วนแล้ว
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ