บทที่ 101 อย่างนั้นก็สู้สิ
แม้ว่าฉินเฟิงจะไม่อยากยอมรับ แต่ทันทีที่สงครามระดับแคว้นจบลง เงินสิบล้านถึงหลายสิบล้านตำลึงเงินจะถูกผลาญไปในพริบตา ข้อเท็จจริงนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยง ทำได้เพียงเผชิญหน้าอย่างสุขุมเท่านั้น
แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงในฐานะกษัตริย์ผู้ครองแคว้นก็อดไม่ได้ที่จะเงียบไปเมื่อได้ยินจำนวนเงินอันมหาศาลนี้
ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากใช้เงินจำนวนนี้เพื่อทะนุบำรุงความเป็นอยู่ของราษฎรจะเป็นประโยชน์ต่อราษฎรทั้งใต้หล้าอย่างมาก
แต่หากนำไปใช้ทำสงคราม ก็ไม่อาจรู้ว่าเงินจำนวนนี้จะก่อให้เกิดผลลัพธ์เช่นไร
ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่นี้ แม้กระทั่งฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงยังปิดปากเงียบ ไม่กล้าผลีผลามตัดสินใจ เพราะหากไม่ระวังชื่อเสียงทั้งหมดจะถูกทำลายสิ้น เช่นนั้น เขาจะมีหน้าไปพบกับบรรพบุรุษในโลกหน้าได้อย่างไร
ขุนนางฝ่ายต่อต้านสงครามทุกคนต่างมีความสุข ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า ฉินเฟิงที่อยู่ในช่วงได้เปรียบจะยกหินทุ่มลงเท้าตัวเองเสียได้
ผู้มีสติปัญญาย่อมรู้ว่า ในเวลานี้ควรส่งเสริมจุดแข็ง และหลีกเลี่ยงจุดอ่อนอย่างการพูดถึงค่าใช้จ่ายทางกองทัพให้มากที่สุด ท้ายที่สุดแล้วฉินเฟิงยังเด็กนัก!
เฉิงหยินยืนขึ้นอย่างมั่นใจ หว่างคิ้วผ่อนคลายราวกับว่าชัยชนะอยู่ในกำมือ เขาเอ่ยขึ้นแผ่วเบา “การอพยพชาวไร่อ้อยมีค่าใช้จ่ายเพียงหนึ่งล้านตำลึงเงิน ทว่าการเปิดฉากสงครามในเป่ยตี๋จะต้องใช้เงินหลายสิบล้านตำลึงเงิน แม้แต่ชาวบ้านธรรมดายังรู้จักกำไรขาดทุน เรายังต้องถกเถียงกันต่อไปว่าสงครามครั้งนี้ควรเกิดขึ้นหรือไม่อีกหรือ?”
ฝ่ายสนับสนุนสงครามขวัญเสียในทันที แม้ทุกคนจะหวังจากก้นบึ้งหัวใจว่าจะพิชิตเป่ยตี๋ ทว่าค่าใช้จ่ายทางกองทัพที่สูงลิ่วก็เป็นปัญหาในทางปฏิบัติ ซึ่งต้องเผชิญหน้าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ฉินเทียนหู่แอบถอนหายใจ ทว่ากลับไม่ได้ตำหนิฉินเฟิง ท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ฉินเฟิงจะสามารถควบคุมได้
แม้ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงจะศึกษา ‘ศิลปะแห่งการควบคุมคน’ มาตลอดชีวิต และอ่านคนมานับไม่ถ้วน แต่ในเวลานี้ก็ยังอดรู้สึกสับสนในพระทัยไม่ได้ มิใช่เรื่องยากที่จะคาดเดาความคิดของขุนนางบุ๋นบู๊และขุนนางใหญ่ทั่วทั้งราชสำนัก ทว่าเป็นการยากที่จะมองออกว่า เจ้าฉินเฟิงกำลังบ่มเพาะความคิดชั่วร้ายอันใดอยู่กันแน่
หรือว่าบทพูดที่ยาวเหยียดชุดนี้จะเป็นไปเพื่อเตือนทุกคนถึงอันตรายที่สงครามในเป่ยตี๋จะต้องเผชิญเท่านั้น? ฉินเฟิงคงไม่จำเป็นต้องตอกย้ำกระมัง เกรงว่าแม้แต่ชาวนาก็ยังรู้ว่าการทำสงครามต้องผลาญเงินเป็นจำนวนมาก
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงคิดไปคิดมาอย่างไรก็ไม่เข้าใจ จึงหยุด และถามอย่างตรงไปตรงมา “ฉินเฟิง เจ้าอธิบายมาให้ชัดเจนทีว่าการศึกครั้งนี้ควรเกิดขึ้นหรือไม่!”
ในเวลานี้ไม่มีใครสนใจความคิดเห็นของฉินเฟิงอีกต่อไป แม้แต่ขุนนางจากฝ่ายสนับสนุนสงครามต่างก็ก้มหน้า และถอนหายใจออกมา ไม่มีหนทางสำหรับสงครามครั้งนี้แล้ว
ณ พระตำหนักไท่เหออันใหญ่โต มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เพ่งความสนใจไปยังร่างของฉินเฟิง คนหนึ่งคือฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง และอีกคนคือฉินเทียนหู่
ฉินเฟิงซึ่งมีคารมคมคายมาโดยตลอด ครานี้กลับเกาศีรษะ ปล่อยเวลาผ่านไปเนิ่นนาน แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใด ๆ
ในสายตาของทุกคน นี่เป็นสัญญาณของความประหม่าอย่างไม่ต้องสงสัย เหล่าบัณฑิตขงจื๊ออดไม่ได้ที่จะดูถูกเหยียดหยาม คิดว่าเจ้าลาฉินเฟิงจนปัญญาแล้ว ไม่สามารถสร้างคลื่นลมอันใดได้อีก
เฉิงหยินอารมณ์ดียิ่ง ตราบใดที่สามารถป้องกันสงครามในเป่ยตี๋ได้ ฐานะของผู้นำปัญญาชนก็จะไม่สั่นคลอน ไม่เพียงแค่เขาจะสามารถทิ้งชื่อของตนไว้ในประวัติศาสตร์ได้เท่านั้น แต่ ‘ตระกูลเฉิง’ เองก็จะได้รับตำแหน่งที่สำคัญของต้าเหลียงในอนาคต เป็นโชควาสนาแก่ลูกหลาน!
เฉิงหยินไม่เสียเวลาอีกต่อไป ยกมือขึ้นเตรียมจะสรุปเรื่องราวนี้ ทว่ากลับได้ยินเสียงขลาดกลัวดังขึ้นเบา ๆ ข้างกาย
“ถ้าอย่างนั้น… สู้สิ?” ฉินเฟิงก้มศีรษะลง และย่นคอลงอย่างคนขี้ขลาด
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ทั้งห้องโถงพลันฮือฮา ไม่ต้องพูดถึงบัณฑิตขงจื๊อ แม้แต่ขุนนางบางคนยังลืมตัว พากันส่งเสียงประณามฉินเฟิงอย่างเกรี้ยวกราดโดยไม่สนใจว่าตนกำลังอยู่ในพระตำหนักอันศักดิ์สิทธิ์

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ