บทที่ 1011 การตอบโต้ครั้งแรก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว นับจากที่ฉินเฟิงประเมินไว้ว่าสงครามฤดูหนาวจะกินเวลาสามเดือน ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงห้าวันเท่านั้น
ลมหนาวเสียดกระดูก ฉินเฟิงยืนอยู่บนกำแพงเมือง มองไปยังค่ายทหารที่ล้อมเมืองฉางสุ่ยอยู่ในระยะไกล อดถอนหายใจยาวไม่ได้
“ใกล้ครบกำหนดสามเดือนแล้ว แต่กองทัพของหลี่จางและสวีโม่ยังไม่มีทีท่าว่าจะปรากฏตัว หาไม่ค่ายทหารที่ล้อมเมืองฉางสุ่ยคงจะวุ่นวายไปแล้ว”
“ตอนนี้เหมือนว่าเขาประเมินกำลังรบของทหารเป่ยตี๋ต่ำเกินไป และยิ่งประเมินความสามารถในการบัญชาการของเฉินซือกับแม่ทัพคนอื่น ๆ ต่ำไปด้วย”
“ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เลวร้ายพวกเขายังสามารถยืนหยัดได้นานขนาดนี้ หากเป็นช่วงที่เป่ยตี๋รุ่งเรืองที่สุด ต่อให้กองทัพเป่ยซีแข็งแกร่งเพียงใดก็คงได้แต่ตั้งรับอยู่ในเมือง ไม่กล้าก้าวออกนอกเขตแดนแม้แต่ก้าวเดียว”
หนิงหู่ที่ติดตามอยู่ข้างกายฉินเฟิง เห็นแววตาหนักอึ้งของฉินเฟิงก็อดกังวลไม่ได้
“พี่ฉิน ถึงสงครามทางใต้จะคลาดเคลื่อนจากที่คาดการณ์ไปบ้าง แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของฉางสุ่ย พวกเรายังประคองไปได้อีกครึ่งปี”
ฉินเฟิงส่ายหน้าพลางยิ้ม แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความขมขื่น
“เสือน้อย เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิด”
“เสบียงที่เก็บสะสมไว้ในเมืองฉางสุ่ย หากดูจากบัญชี จริงอยู่ที่จะสามารถประคองไปได้ครึ่งปี แต่นั่นก็มีเงื่อนไขว่าต้องลดปริมาณการกินการใช้ของทุกคนลง”
“จากความประหยัดไปสู่ความฟุ่มเฟือยง่าย แต่จากความฟุ่มเฟือยสู่ความประหยัดยาก”
“หากลดค่าใช้จ่ายในการกินการใช้ก็คงมีคนบ่นกันแน่”
หนิงหู่ขมวดคิ้วแน่น กล่าวเสียงทุ้ม “แม้พี่น้องของข้าต้องกินเปลือกไม้ก็จะไม่บ่นสักคำ!”
ฉินเฟิงตบบ่าหนิงหู่พลางกล่าวอย่างจริงจัง “แน่นอนว่าข้าเชื่อใจพี่น้องของเรา แต่ราษฎรเล่า? พวกเขาไม่มีความเข้าใจ ขอแค่กินอิ่มก็มีความสุขถ้วนหน้า กินไม่อิ่มก็ด่าลับหลัง ใช่ว่าพวกเขาคับแคบ แต่ความคิดของสามัญชนเรียบง่ายนัก”
“สงครามฤดูหนาว เป่ยตี๋ทนไม่ไหว พวกเรายิ่งทนไม่ไหว”
ฉินเฟิงมองไปยังค่ายทหารที่ตั้งอยู่ห่างออกไป แววตาสงสัย
“นับตั้งแต่เฉินซือจากไป กองทัพที่ล้อมฉางสุ่ยก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ แม้ว่าจะไม่มีทีท่าว่าจะบุกเข้าเมืองได้ แต่การลาดตระเวนตรวจตราก็น่าจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้”
“ข้าครุ่นคิดเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว เจ้าว่า… ค่ายทหารที่ล้อมฉางสุ่ยอยู่นี้เหลือแค่เปลือกหรือไม่?”
หนิงหู่ที่เมื่อครู่ยังมีสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อได้ยินคำพูดนี้ดวงตาก็เปล่งประกาย
หากกองกำลังที่ล้อมเมืองฉางสุ่ยแอบถอนทัพออกไปแล้ว ฉางสุ่ยก็จะสามารถเปิดเส้นทางข่าวสารได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการสืบข่าวแบบเลียบ ๆ เคียง ๆ ของฉีย่าอีกต่อไป
การสืบข่าวสำหรับเมืองฉางสุ่ยนับเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
หนิงหู่มองไปยังค่ายทหารที่อยู่ไกลออกไป “พี่ฉินหากค่ายของข้าศึกเหลือเพียงเปลือก องครักษ์เสื้อแพรก็ควรจะส่งข่าวเข้ามาแล้วหรือไม่?”
“เมื่อองครักษ์เสื้อแพรยังไม่ปรากฏตัว แสดงว่ารอบเมืองฉางสุ่ยยังคงแน่นหนาดั่งถังเหล็ก”
ฉินเฟิงได้ฟัง ก็กล่าวว่า “สำหรับองครักษ์เสื้อแพรแล้วอาจเป็นถังเหล็ก แต่ไม่ได้หมายความว่าสำหรับทหารของพวกเราจะเป็นถังเหล็กเช่นกัน”
หนิงหู่มองด้วยสายตาประหลาดใจ “พี่ฉิน คำพูดของเจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
ฉินเฟิงไม่อ้อมค้อม “การปิดกั้นข่าวสาร แค่อาศัยทหารม้าเบาและทหารสอดแนมก็เพียงพอแล้ว”
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ