บทที่ 1012 ได้รับเกียรติ
ฉินเฟิงยกขาถีบก้นหนิงหู่ทันที พลางพูดอย่างหงุดหงิด “อย่าประจบประแจงนัก เมื่อขึ้นสนามรบแล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น จำไว้ว่าทหารที่หยิ่งผยองย่อมพ่ายแพ้”
“หากเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี ก็ให้รีบพาพี่น้องกลับมาทันที ห้ามทำอะไรเสี่ยง ๆ”
“แม้ว่าตอนนี้ฉางสุ่ยจะมั่นคงดั่งถังเหล็กแล้ว แต่ก็ทนการสูญเสียกำลังพลไม่ได้ หากมีพี่น้องต้องเสียชีวิตมากเกินไป ข้าจะไม่ไว้หน้าเจ้าแน่”
เมื่อเผชิญกับคำดุด่าของฉินเฟิง หนิงหู่กลับหัวเราะอย่างไม่ได้ใส่ใจ ซ้ำยังเต็มไปด้วยความคาดหวัง
พูดตามตรง…
ฉินเฟิงอยากจะออกไปร่วมรบกับหนิงหู่เพื่อปลดปล่อยความกดดันที่สะสมมาหลายวัน
แต่เมื่อคำนึงถึงหลี่เซียวหลานที่กำลังตั้งครรภ์ และสตรีในเมืองที่ต้องดูแล ในฐานะแม่ทัพ จะประมาทมิได้ ฉินเฟิงจึงต้องสยบความคิดบ้าบิ่นนี้ แล้วอยู่ในเมืองอย่างสงบ
ราตรีกาลย่างเข้ามา เป็นช่วงดึก
ตามแผนที่วางไว้ หนิงหู่นำทหารบุกเบิกสามร้อยนาย ปีนลงกำแพงเมืองตามบันไดเชือกอย่างเงียบ ๆ รอจนขนอาวุธยุทโธปกรณ์ลงมาจากกำแพงเมืองครบถ้วน และแจกจ่ายให้ทุกคนเรียบร้อย หนิงหู่ก็รีบนำพี่น้องทั้งสามร้อยนายมุ่งหน้าไปยังค่ายศัตรูทันที
ฉินเฟิงก็ไม่ได้อยู่เฉย เขาจัดวางโต๊ะเล็ก ๆ หนึ่งตัวและม้านั่งสามตัวไว้ข้างหอประตูเมือง
บนโต๊ะมีกระถางไฟลุกอยู่ และมีกาน้ำชาร้อน ๆ วางอยู่ด้านบน
จางเจิ้นไห่และหลิ่วหมิงนั่งอยู่ทางซ้ายและขวาของฉินเฟิง พวกเขาจิบชาพลางสอดส่องค่ายศัตรูไปด้วย
เมื่อเห็นฉินเฟิงยังมีอารมณ์ดื่มชา จางเจิ้นไห่และหลิ่วหมิงก็เข้าใจทันทีว่า แท้จริงแล้วฉินเฟิงมีความมั่นใจเจ็ดในสิบส่วนกับการจู่โจมในค่ำคืนนี้ เพียงแต่ยังขาดหลักฐานที่แน่ชัด ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าในค่ายศัตรูมีกำลังทหารอยู่เท่าใด จึงได้สั่งให้หนิงหู่ระมัดระวังให้มากที่สุด
ฉินเฟิงรินชาร้อนให้กับจางเจิ้นไห่และหลิ่วหมิงผู้เป็นบ่าวที่ทำงานหนักด้วยตัวเอง
จางเจิ้นไห่และหลิ่วหมิงรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่ได้รับเกียรติเช่นนี้
หลิ่วหมิงยังพอไหว เขาเป็นศิษย์ของโม่หลี ถือว่ามาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง ส่วนจางเจิ้นไห่นั้นมาจากตระกูลต่ำต้อยโดยแท้
การที่จางเจิ้นไห่สามารถก้าวขึ้นมาถึงตำแหน่งในวันนี้ได้ ราวกับความฝันเลยทีเดียว
และในตอนนี้ ฉินเฟิงกลับรินน้ำชาให้จางเจิ้นไห่ด้วยตนเอง จางเจิ้นไห่ตื่นเต้นจนพูดจาติดขัด
“ท่านโหวฉิน… ข้าน้อยรู้สึกกลัวยิ่งนัก…”
ทว่าเขาเพิ่งพูดจบ ฉินเฟิงก็ตอกกลับทันที “กลัวบ้ากลัวบออะไรของเจ้า”
แม้จะถูกฉินเฟิงด่าทอต่อหน้าธารกำนัล จางเจิ้นไห่กลับไม่รู้สึกอับอายแต่อย่างใด ในทางกลับกันเขากลับรู้สึกปลื้มปริ่มในใจ เพราะเขาติดตามฉินเฟิงมานานจนเข้าใจนิสัยของฉินเฟิงเป็นอย่างดี ได้ชื่อว่าเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค อีกทั้งยังเป็นแม่ทัพผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ในสนามรบ นับได้ว่าเป็นผู้เพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊
แต่ในส่วนลึกของฉินเฟิงนั้น แท้จริงแล้วยังคงมีนิสัยของคุณชายผู้หยิ่งผยองแห่งเมืองหลวง และอุปนิสัยของคนที่ไม่ต้องทำงาน
บางครั้งเมื่อโทสะพลุ่งพล่าน ก็จะเอ่ยปากด่าทอออกมาทันที
แต่คำด่าของฉินเฟิงนั้น เป็นการด่าด้วยความรักและห่วงใย ไม่มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้เอง ในกองทัพการถูกฉินเฟิงชี้หน้าด่าด้วยตัวเอง กลับกลายเป็นเกียรติยศอย่างหนึ่ง
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นไกล แม้แต่หนิงหู่ยังมักจะถูกฉินเฟิงด่าทออย่างรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งยังต้องโดนเตะอีกสองสามที จะใช้คำว่า ‘ตีเพราะรัก ด่าเพราะเอ็นดู’ มาอธิบายก็ไม่เกินเลยแต่อย่างใด
บางทีอาจเป็นเพราะนิสัยที่ไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ทำให้ฉินเฟิงและหนิงหู่สนิทกันราวกับพี่น้อง



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ