บทที่ 1015 เปิดประตูเมืองบุกโจมตี
เมื่อศัตรูถอยทัพฉินเฟิงรู้ชัดทันทีว่า ศูนย์กลางทางทหารของเป่ยตี๋ได้ย้ายจากฉางสุ่ยไปยังเอ้อโจวแล้ว กำลังรบชั้นยอดทั้งหมดกระจายออกไป ทหารที่ประจำการอยู่ฉางสุ่ยไม่เพียงแต่มีจำนวนน้อย แต่คุณภาพยังแย่มากด้วย
ฮ่องเต้เป่ยตี๋กำลังเสี่ยง เสี่ยงว่าฉินเฟิงไม่กล้าออกจากฉางสุ่ย และข้อเท็จจริงพิสูจน์แล้วว่า ฮ่องเต้เป่ยตี๋ผิดพลาด
หทายความว่า บริเวณรอบเมืองฉางสุ่ยขาดการป้องกันมีเพียงกำลังบางส่วนปิดกั้นข่าวสาร
พอตระหนักถึงจุดนี้ ฉินเฟิงไม่รีรอ หลังให้กองทัพได้พักหนึ่งวันก็ออกคำสั่งระดมพล เตรียมการก่อนสงคราม
ตอนนี้ฉินเฟิงมีกำลังพลทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อยคน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเพลิงไหม้หลังบ้าน จำเป็นต้องมีห้าร้อยคนอยู่ในเมือง และห้าร้อยคนนี้ต้องไม่เลือกเพียงแค่ทหารเป่ยซี แต่ต้องต้องมีทั้งทหารค่ายเป่ยซีและองครักษ์ค่ายเทียนจี
หากเกิดความผิดพลาดภายหลังจะได้ไม่ถึงกับไม่มีกองกำลังชั้นเลิศอยู่ใกล้ตัว
นอกเหนือจากทหารรักษาเมืองห้าร้อยคน กองกำลังที่เหลือหนึ่งพันคนจะถูกแบ่งออกเป็นสองกองทัพ นำโดยหนิงหู่และจางเจิ้นไห่
หนิงหู่นำทหารราบหกร้อยคนบุกตรงไปยังชิงซาน กำจัดศัตรูทั้งหมดรอบเมืองชิงซาน หากศัตรูหลบเข้าไปในตัวเมือง ก็ไม่จำเป็นต้องไล่ตาม เพียงทำความสะอาดนอกเมืองให้เรียบร้อยก็พอ
ส่วนจางเจิ้นไห่นำกองทหารม้าสี่ร้อยคนโจมตีเส้นทางรอบฉางสุ่ยอย่างรวดเร็ว
ตามการสอดแนมขององครักษ์เสื้อแพร กำลังทหารที่ประจำตามเส้นทางต่าง ๆ มีจำนวนไม่มาก มากที่สุดก็หนึ่งร้อยคน น้อยที่สุดมีแค่สิบคนเท่านั้น
อาศัยจำนวนและความสามารถในการรบของกองทหารม้าสี่ร้อยคนจะสามารถทำลายจุดยุทธศาสตร์เหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว
เป้าหมายเบื้องต้นของฉินเฟิงชัดเจนคือ ทำลายวงล้อมที่เป่ยตี๋วางไว้อย่างพิถีพิถัน เปิดช่องทางรับส่งข่าวสาร ให้สามารถรับรู้และเข้าใจสถานการณ์ที่เอ้อโจวและเมืองหลวงเป่ยตี๋
เมื่อฉินเฟิงสั่งการ หนิงหู่และจางเจินไห่ก็นำกำลังทหารหนึ่งพันคนออกจากฉางสุ่ย แยกกำลังออกเป็นสองกองทัพ กองทัพหนึ่งมุ่งตรงไปยังชิงซาน อีกกองทัพหนึ่งมุ่งไปยังเส้นทางสัญจรที่ไกลที่สุด
เหตุผลที่เลือกเส้นทางสัญจรที่ไกลที่สุด เพราะกองทหารม้าสามารถอาศัยความได้เปรียบด้านความเร็วบุกโจมตีเส้นทางสัญจรโดยที่ข้าศึกไม่ทันตั้งตัว จากนั้นโจมตีย้อนกลับไล่มาจนถึงเมืองฉางสุ่ย ทำลายทุกจุดยุทธศาสตร์ตลอดแนวเส้นทาง
การทำลายจุดยุทธศาสตร์ของเส้นทางสัญจรที่ไกลที่สุดก่อน หมายถึงการตัดเส้นทางส่งเสบียงและกองกำลังเสริมของข้าศึก และพอโจมตีย้อนกลับมากำลังป้องกันของข้าศึกก็ยิ่งอ่อนแอ กลับกัน ถ้ายิ่งรุกไปข้างหน้ามาก ข้าศึกก็จะยิ่งเตรียมพร้อมได้ และการต่อสู้ก็ยิ่งยากลำบาก
แม้แต่กองทัพที่มีความแข็งแกร่งของฉินเฟิงก็ต้องเลือกจู่โจมเป้าหมายที่อ่อนแอก่อน การปะทะกันอย่างตรงไปตรงมาเป็นเรื่องโง่เขลา ซึ่งเป็นข้อห้ามสำคัญในศาสตร์ทางการทหาร
ตอนนี้ฝ่ายเป่ยตี๋ไม่มีใครคาดคิดว่าฉินเฟิงกล้าส่งคนออกจากฉางสุ่ย เมื่อกองทัพประจำเมืองต่าง ๆ ทราบข่าวว่าหนิงหู่นำกำลังทหารราบหกร้อยคนบุกเไปยังอำเภอชิงซาน และจางเจิ้นไห่ก็เริ่มโจมตีเส้นทางสัญจร
ตามปกติกองทหารประจำเมืองต่าง ๆ สมควรส่งกำลังเข้าปะทะ โจมตีและทำลายกองทัพของฉินเฟิง
แต่แม่ทัพกองทหารประจำเมืองต่าง ๆ ไม่ได้ทำเช่นนั้น กลับส่งคนไปยังเมืองหลวงเพื่อรายงานสถานการณ์ทางทหารต่อกรมกลาโหมก่อน
เหตุที่ทำเช่นนี้มิใช่เพราะแม่ทัพโง่เขลา แต่เป็นเพราะตอนนี้เมืองหลวงวุ่นวาย ฝ่ายต่าง ๆ ต่างคนต่างรบ แม่ทัพเมืองต่าง ๆ ไม่ประสงค์เป็นหัวหอก ถึงจะรู้ว่าการกระทำนี้จะเป็นการเสียเวลา แต่ก็ยังคงรายงานตามขั้นตอนตามปกติ
เมื่อกรมกลาโหมได้รับข่าว ชิงซานก็ถูกหนิงหู่ตีแตกแล้ว ทหารที่เหลือรอดของชิงซานหลบซ่อนอยู่ในเมือง ประตูเมืองปิดสนิท ไม่มีการเตรียมพร้อมรบแต่อย่างใด
หลังจากทหารชิงซานถูกตีถอย องครักษ์เสื้อแพรที่เคลื่อนไหวอยู่บริเวณชายแดน ไม่สามารถเข้าใกล้ฉางสุ่ยได้ก็ติดต่อกับหลิ่วหมิง และส่งข่าวล่าสุดทั้งหมดไปยังฉางสุ่ยได้แล้ว
ขณะเดียวกัน พอฮ่องเต้เป่ยตี๋ที่ประทับอยู่ในพระราชวังของเมืองหลวงเป่ยตี๋รู้ว่าฉินเฟิงส่งออกจากเมืองก็กุมศีรษะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ