บทที่ 1032 ดีกว่าการต่อสู้
อู๋ฟางซวี่กล่าวเป็นขั้นเป็นตอน “ไม่ว่าจะเป็นการไม่โจมตีพระราชวัง การสงวนกำลัง หลีกเลี่ยงการสูญเสีย เหล่านี้ย่อมไม่ต้องกล่าวถึง ต่อมาไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือราษฎร ต่างจะขอบคุณความดีของท่านโหวฉินและรู้สึกว่าท่านโหวฉินเป็นผู้มีความเมตตา ในอนาคตจะยิ่งจงรักภักดีต่อท่านโหวฉินอย่างสุดหัวใจ”
“แม้ระยะสั้น การดำรงอยู่ของพระราชวังจะทำให้ราษฎรเกิดความกังวล แต่หากมองในระยะยาว ประโยชน์ของการไม่โจมตีพระราชวังจะเหนือกว่าการโจมตีอย่างแน่นอน”
คำพูดของอู๋ฟางซวี่แทรกซึมเข้าสู่ใจของฉินเฟิงแต่ยังขาดพลังในการโน้มน้าว
คนเรามีความคิดซ่อนเร้น การคาดเดาความรู้สึกของอีกฝ่ายเพียงอย่างเดียวจะทำให้เสียเปรียบอย่างมาก ตั้งแต่แรกจึงต้องเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
หากในพระราชวังมีกำลังใจเข้มแข็ง มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ฮ่องเต้เป่ยตี๋ยืนหยัดป้องกันได้หนึ่งหรือสองปี แล้วทุกคนจะต้องมานั่งสิ้นเปลืองเวลากันหรือ
เพียงมองจากสถานการณ์ปัจจุบัน การไม่โจมตีวังหลวงถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในอุดมคติ แต่อาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
อู๋ฟางซวี่ย่อมเข้าใจความกังวลของฉินเฟิง แต่ตอนนี้เขาก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่า
โชคดีที่ในสถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงอู๋ฟางซวี่
ทุกคนระดมความคิด ไม่นานก็มีแนวทาง
รองเสนาบดีกรมอาญาคนหนึ่งกล่าวเสียงหนัก “โดยสรุป การไม่โจมตีพระราชวังเป็นเพียงมาตรการชั่วคราว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะยืดเยื้อ”
“จุดสำคัญอยู่ที่การทำให้พระราชวังยอมจำนนโดยเร็วที่สุด”
“หากจะกระจายข่าวลือเข้าไปข้างใน แม้จะสามารถสร้างผลกระทบได้บ้าง แต่ผลกระทบจะไม่มากนัก”
“ประการแรก ทหารรักษาพระองค์ยากที่จะถูกชักจูง ประการที่สอง พระราชวังตั้งอยู่ภายในเมืองหลวง กำแพงรอบด้าน สามารถมองเห็นสถานการณ์ภายนอกได้โดยตรง ข่าวลือธรรมดาย่อมแตกสลายไปเองแน่”
“การตัดสินใจของฮ่องเต้เป่ยตี๋จึงเป็นจุดสำคัญ”
ขุนนางกรมกลาโหมถามขึ้น “จะทำอย่างไรให้ฮ่องเต้เป่ยตี๋ยอมจำนนด้วยความสมัครใจดีเล่า?”
นี่คือกุญแจสำคัญ และเป็นเรื่องที่ยากลำบาก เพราะหากฮ่องเต้เป่ยตี๋ยอมจำนน เขาก็คงไม่ยืนหยัดป้องกันพระราชวังจนถึงที่สุด ไม่มีท่าทีจะยอมแพ้เด็ดขาด
ยิ่งกว่านั้น เหล่าขุนนางที่อยู่ที่นี่ต่างก็รู้จักฮ่องเต้เป่ยตี๋ดี การจะให้ฮ่องเต้เป่ยตี๋ยอมจำนนก็เหมือนกับการปีนขึ้นสวรรค์ที่เป็นไปไม่ได้
ขณะที่ทุกคนกำลังหมดหนทาง เสียงของฉินเฟิงก็ดังขึ้น
“มนุษย์ย่อมมีจุดอ่อน แม้แต่ฮ่องเต้เป่ยตี๋ก็ย่อมมีสิ่งที่เขาห่วงใย”
“ในที่นี้ใครบ้างที่สมัครใจเข้าไปในพระราชวัง และติดต่อกับฮ่องเต้เป่ยตี๋โดยตรง”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา บรรยากาศที่เคยวุ่นวายเงียบสนิทในพริบตา
เหล่าขุนนางต่างมองหน้ากันด้วยความลังเล ไม่มีใครอยากก้าวออกมาเป็นหัวหอก แม้แต่อู๋ฟางซวี่ก็นิ่งเงียบ ก้มหน้าลง ไม่กล้าส่งเสียง
ฉินเฟิงไม่โกรธกับความขลาดของเหล่าขุนนาง และยังเข้าใจด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาล้วนเคยเป็นขุนนางผู้ใหญ่ของฮ่องเต้เป่ยตี๋มาก่อน บัดนี้เมื่อศัตรูคืบคลานพวกเขากลับทรยศเจ้านายโดยไม่ลังเล หากผู้ใดยังมีความละอายคงไม่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าฮ่องเต้เป่ยตี๋อีก
กระนั้นก็จำเป็นต้องมีผู้เข้าไปในพระราชวัง และคนผู้นี้ต้องไม่ใช่คนของฉินเฟิงเด็ดขาด
เหตุผลเรียบง่าย เพราะฮ่องเต้เป่ยตี๋อับจนถึงที่สุดแล้ว จะทำการใด ๆ ก็ได้ หากพบคนของฉินเฟิงเขาย่อมไม่ลังเลที่จะกำจัด โดยไม่มีโอกาสให้ฉินเฟิงได้พบหน้า
พระราชวังในตอนนี้ สำหรับฉินเฟิงกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามอย่างแท้จริง
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ