บทที่ 1033 คำขาดของฮ่องเต้เป่ยตี๋
หลังรับฟังข้อเสนอของอู๋ฟางซวี่ ฉินเฟิงครุ่นคิด
หลี่อวี้เป็นจิ้งจอกเฒ่า หากแค่ใช้ปากเปล่า หวังให้คนผู้นี้ร่วมมือย่อมเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
หากต้องการให้หลี่อวี้สวามิภักดิ์ก็จำเป็นต้องให้ผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรม
การจัดการหลี่อวี้ในอนาคตจึงกลายเป็นปัญหายาก หากปล่อยให้เขาอยู่กับเป่ยตี๋อำนาจและพรรคพวกของเขาหยั่งรากลึก ย่อมง่ายต่อการกลับมามีอำนาจอีกครั้ง และคุกคามราชสำนัก หากย้ายเขาไปยังชายแดนเหนือแคว้นต้าเหลียงก็เท่ากับเลี้ยงเสือไว้ใกล้ตัว วางปัจจัยที่ไม่แน่นอนไว้ข้างกาย
ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากการต่อสู้ระหว่างองครักษ์เสื้อแพรและหน่วยนกฮูกราตรีที่มีมานาน ฉินเฟิงและหลี่อวี้ไม่อาจไว้วางใจซึ่งกันและกันได้
แต่หอู๋ฟางซวี่กล่าวไม่ผิด การยึดพระราชวัง หลี่อวี้แน่นอนว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง
ขณะที่ฉินเฟิงกำลังลังเลไม่รู้จะทำอย่างไร หลี่จางกลับกระซิบเตือนที่ข้างหู
“พี่ฉิน แม้หลี่อวี้จะอันตราย แต่ตอนนี้มีผลประโยชน์มากกว่าโทษ”
“หากเป็นห่วงว่าคนผู้นี้จะก่อกบฏในภายหลังก็สามารถตัดขาดเขาจากญาติพี่น้อง ส่งหลี่อวี้คนเดียวไปยังดินแดนแคว้นต้าเหลียงให้องครักษ์เสื้อแพรคุมขังอย่างเข้มงวด ไม่ให้ติดต่อกับครอบครัวได้”
“หลี่อวี้อายุมากแล้วคงอยู่ได้ไม่กี่ปี แม้ภายหลังเขาจะคิดก่อเรื่อง องครักษ์เสื้อแพรก็มีวิธีทำให้เขาตายโดยไม่ยากเย็นแน่”
เกี่ยวกับข้อเสนอของหลี่จาง ฉินเฟิงรับฟังอย่างใส่ใจ
พูดง่าย ๆ ตอนนี้ไม่ฆ่าหลี่อวี้ก็เพียงแค่คำนึงถึงผลกระทบเท่านั้น รอไปอีกสองสามปี เมื่อทุกคนลืมหลี่อวี้ไปแล้วก็ยังสามารถกำจัดเขาได้
การฆ่าหรือไม่ฆ่าหลี่อวี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฉินเฟิงแต่ขึ้นอยู่กับตัวหลี่อวี้ว่าจะประพฤติตนเรียบร้อยหรือไม่
คิดได้เช่นนี้ ฉินเฟิงไม่ได้ยึดติดอีก เขาพยักหน้าให้อู๋ฟางซวี่ “เอาตามที่เจ้าว่ามา”
“หลี่อวี้เป็นคนฉลาด ไม่จำเป็นต้องหลอกลวง เพียงแค่เล่าให้เขาฟังตามตรงถึงการสนทนาระหว่างข้ากับซื่อจื่อเขาย่อมจะชั่งน้ำหนักได้เอง”
อู๋ฟางซวี่ยินดีอย่างยิ่ง เขาคุ้มครองหลี่อวี้นอกเหนือจากความสัมพันธ์ส่วนตัวแล้ว ยังเป็นการปฏิบัติภารกิจที่ฉินเฟิงมอบหมายอีกด้วย
หลังจากอู๋ฟางซวี่จากไป ฉินเฟิงยังคงหารือกับเหล่าขุนนางที่เหลือ เกี่ยวกับการฟื้นฟูเมืองหลวง
ก่อนที่จะมอบแคว้นนี้ให้กับจิ่งเชียนอิ่ง จำเป็นต้องจัดการงานตกค้างทั้งหมดให้เรียบร้อยเสียก่อน เนื่องจากจิ่งเชียนอิ่งกำลังตั้งครรภ์ เป็นไปไม่ได้ที่จะทำงานด้วยตนเอง
อู๋ฟางซวี่เตรียมการ และเช้าวันรุ่งขึ้นก็มุ่งหน้าไปยังพระราชวัง
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกทหารรักษาพระองค์กำจัด อู๋ฟางซวี่ไม่กล้าเข้าใกล้พระราชวังโดยตรง แต่ส่งคนไปติดต่อก่อนเพื่อแสดงเจตนา แล้วจึงความกล้าเดินไปยังประตูวัง
เนื่องจากประตูใหญ่ถูกปิดตายแล้ว อู๋ฟางซวี่จึงต้องผูกเชือกที่โยนลงมาจากกำแพงไว้ที่เอว แล้วให้ทหารรักษาพระองค์ดึงเข้าไป
มองเห็นภาพความทรุดโทรมของพระราชวัง อู๋ฟางซวี่ถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย
แต่การเดินทางครั้งนี้ของเขามิใช่มาเพื่อคร่ำครวญ หากแต่แบกรับภาระหนัก
ภายใต้การนำของทหารรักษาพระองค์ อู๋ฟางซวี่เดินไปยังท้องพระโรง เขาเห็นหลี่อวี้ยืนเฝ้าอยู่หน้าท้องพระโรงแต่ไกล
หลี่อวี้เป็นคนฉลาด เมื่อเขารู้ว่าอู๋ฟางซวี่มาถึงพระราชวังก็ตระหนักได้ว่าต้องมีเรื่องซ่อนอยู่ และด้วยความสัมพันธ์พิเศษระหว่างเขากับอู๋ฟางซวี่จึงรีบมาต้อนรับ
สองคนพบหน้าต่างก็สะเทือนใจ
อู๋ฟางซวี่สูดจมูกแล้วกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “ใต้เท้าหลี่ เพิ่งผ่านมาไม่นาน ท่านกลับทรุดโทรมลงได้ขนาดนี้”
หลี่อวี้ที่เคยเป็นผู้มีอำนาจน่าเกรงขาม ทรุดโทรมลงราวสิบปีในชั่วข้ามคืน ดูคล้ายคนชราที่ใกล้สิ้นใจ

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ