บทที่ 1048 ฮ่องเต้หญิงขึ้นครองราชย์
กั๋วซือราวกับเป็นโคลนเลน เขาคิดว่าจะสามารถทำลายล้างฉินเฟิงและทำให้กลุ่มพลังต่าง ๆ ลุกฮือได้ หากเป็นเช่นนั้น ครอบครัวของเขาก็จะได้ประโยชน์จากสถานการณ์ และอาจกลายเป็น ‘ผู้นำ’
แต่หมากลับที่ฉินเฟิงโยนออกมากลับทำลายความฝันของกั๋วซือราบคาบ
กั๋วซือทรุดตัว คุกเข่าความสิ้นหวัง ร้องไห้ด้วยความคลุ้มคลั่ง “ท่านโหวฉิน ข้าน้อยแก่แล้ว ถูกฝ่าบาท… ไม่ ถูกเจ้าโจรปล้นบัลลังก์ทำให้ตาบอด”
“ไม่คิดเลยว่าคนพาลนั่นจะชั่วช้าถึงเพียงนี้ ถึงกับสังหารฮ่องเต้พระองค์ก่อน”
“ท่านโหวฉิน ขอท่านโปรดเมตตา คำนึงถึงวัยชราและสายตาอันมัวหมองของข้า โปรดไว้ชีวิตข้าและญาติพี่น้องเถิด”
มองเฒ่ากั๋วซือคุกเข่าร้องขอชีวิต ดวงตาของฉินเฟิงไร้ซึ่งความรู้สึก
เมื่อเฒ่ากั๋วซือวิ่งมาสร้างความวุ่นวายก็หมายความว่า เขาได้ปรึกษากับญาติพี่น้องแล้ว ภายหลังพวกเขาจะร่วมมือกันโค่นล้มฉินเฟิงแน่
คนเช่นนี้ฉินเฟิงย่อมไม่มีความเมตตาใด ๆ จะมอบให้
“ฮ่องเต้ของแต่ละแคว้นย่อมมีความลับบางอย่างที่ไม่อาจเปิดเผยต่อสาธารณะได้ไม่มากก็น้อย”
“เจ้าไม่ได้สาบานตนว่าจะจงรักภักดีต่อฮ่องเต้เป่ยตี๋หรอกหรือ? ฮ่องเต้เป่ยตี๋ทำอะไรลงไปเกี่ยวอะไรกับเจ้าเล่า เจ้าเพียงแค่จงรักภักดีต่อไปก็พอ!”
เมื่อคำพูดนี้ถูกเอ่ยออกมา เฒ่ากั๋วซือยิ่งอับอายอยากจะหารอยแยกมุดลงไป
สายตาของเหล่าขุนนางรอบข้าเต็มไปด้วยความดูถูก
“ฮ่า ๆๆ หน้าซื่อใจคดเสียจริง!”
“เฒ่ากั๋วซือ ท่านไม่ได้กล่าวว่า แม้ต้องตายก็จะจงรักภักดีต่อฮ่องเต้เป่ยตี๋หรอกหรือ ตอนนี้พอรู้เรื่องสกปรกของฝ่าบาทเข้าหน่อย ท่านก็เปลี่ยนจุดยืนเสียแล้ว?”
“แม้ฮ่องเต้เป่ยตี๋จะทรงมีตำหนิ แต่ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับท่าน ท่านเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์และเป็นพระญาติของราชวงศ์ ควรติดตามโดยไม่แยกแยะดำขาวสิ”
ต่อหน้าการเยาะเย้ยของผู้คน กั๋วซือไม่มีความละอายแม้แต่น้อย เขาไม่สนใจการเยาะเย้ยของผู้ใดทั้งนั้น คนเดียวที่เขาสนใจคือฉินเฟิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
ฉินเฟิงไม่อยากพูดแล้ว เขาโบกมืออย่างเด็ดเดี่ยว
ห้องโถงที่เคยวุ่นวายพลันเงียบลง ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน จิ่งเชียนอิ่งก้าวเดินออกมา
นางสลัดความดุดันและเย็นชาในอดีต สวมชุดเฟิ่งผาวหรูหราสง่างาม
เสื้อคลุมสีแดงเข้มปักลวดลายเฟิ่งหวงมีชีวิตชีวาด้วยไหมทอง ปกปิดรูปร่างอันอ่อนช้อย
ผมดำขลับเกล้ามวย มัดสูงบนศีรษะ ประดับด้วยมงกุฎทองเฟิ่งหวง
เครื่องแต่งกายนี้เป็นฉลองพระองค์ของฮองเฮา หาใช่ฉลองพระองค์ของฮ่องเต้
แม้จิ่งเชียนอิ่งจะขึ้นเป็นผู้ครองแคว้น นางก็ยังคงเป็นภรรยาในอนาคตของฉินเฟิง นางจึงดำรงตนเป็น ‘ฮองเฮา’ ไม่ใช่ ‘ฮ่องเต้’
รับรู้ถึงสายตาแหลมคมของจิ่งเชียนอิ่ง อู๋ฟางซวี่ตอบสนองก่อนใคร
เขาคุกเข่าลงกับพื้น ร้องเต็มเสียง “ข้าน้อย ถวาบบังคมฝ่าบาท!”
เสียงอู๋ฟางซวี่ร้องเรียก ขุนนางคนอื่น ๆ สะดุ้งตื่นขึ้นจากความตกตะลึง และพากันคุกเข่าลงถวายความเคารพ
เสียง ‘ถวาบบังคมฝ่าบาท’ ดังขึ้นพร้อมกันทั่วบริเวณ
ในบรรดาพวกเขา ส่วนใหญ่เพียงรู้จักการมีอยู่ของจิ่งเชียนอิ่งแต่ไม่เคยเห็นตัวจริงมาก่อน
บัดนี้เมื่อได้เห็นตัวจริง นอกจากความตื่นตาแล้ว ยังเต็มไปด้วยความเกรงขาม
ไม่อาจกลั้นความรู้สึกได้ ไม่เสียชื่อว่าเป็นฮองเฮาในอนาคต หญิงของฉินเฟิงเพียงแค่ยืนนิ่ง ไม่กล่าวคำใด พลังอำนาจที่แผ่ออกมาจากตัวนางก็ยังน่าเกรงขามยิ่งแล้ว
มองเหล่าขุนนางคุกเข่า ความรู้สึกของจิ่งเชียนอิ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าซับซ้อนเพียงใด
ผ่านมานานแล้ว นางกลับมายังแผ่นดินเกิดและได้สืบทอดตำแหน่งของพระบิดาผู้ล่วงลับ ขึ้นปกครองแคว้นอีกครั้ง
มากกว่าความปลาบปลื้มคือความสุข เพราะทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะฉินเฟิงมอบให้


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ