บทที่ 1051 ทั้งราชสำนักร่วมเฉลิมฉลอง
เฉินซือคาดการณ์เรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองมากนัก เขารู้จักกาลเทศะดีพอที่จะยอมรับความจริงที่ตนเอง ‘ถูกลดขั้น’
แม้ว่ารองแม่ทัพที่อยู่รอบข้างจะโกรธแค้นแทน แต่เฉินซือกลับโบกมือปราม บ่งบอกว่าไม่จำเป็นต้องไปเผชิญหน้ากับจิ่งเผิง
ท้ายที่สุดแล้วตอนนี้พวกเขาไม่ได้เป็นแค่พันธมิตรทางการทหารกันอย่างเดียว
แต่ได้กลายเป็นพรรคพวกเดียวกัน และกำลังจะพัฒนาไปเป็นแคว้นหนึ่งในไม่ช้า
ยิ่งไปกว่านั้นจิ่งเผิงยังได้รับการสนับสนุนจากอู๋คัง ถึงเฉินซือจะมีบารมีสูงในกองทัพ แต่หากเกิดความขัดแย้งจริง จะกลายเป็นยิ่งเร่งให้ทุกคนพบจุดจบเร็วขึ้นเท่านั้น
“มีคำกล่าวว่า ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่การกระทำของมนุษย์ ทว่าตอนนี้ สถานการณ์พัฒนาไปจนเกินกำลังของมนุษย์จะควบคุมได้แล้ว”
“จะรุ่งเรืองหรือเสื่อมถอย ล้วนแต่เป็นไปตามฟ้าลิขิตแล้ว”
“หากถึงฤดูใบไม้ผลิ ป๋อโจวสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อย่างอุดมสมบูรณ์ บางทีอาจจะยังมีโอกาสให้ต่อรองต่อไปได้ แต่ถ้าไม่…”
เฉินซือไม่ได้พูดต่อ เขาเอามือไพล่หลังง หมุนตัวเดินเชื่องช้าลงจากกำแพงเมือง แผ่นหลังโดดเดี่ยว
……
ท้องพระโรงต้าเหลียง
ฉินเทียนหู่ที่เพิ่งเดินทางกลับมายังเมืองหลวงต้าเหลียงกำลังถูกเหล่าขุนนางมากมาย ‘รุมล้อม’ มิใช่เพราะพวกเขามีข้อบาดหมางใด ๆ แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของเป่ยตี๋ที่ทำให้เหล่าขุนนางตื่นเต้น เลยอยากขอให้ฉินเทียนหู่ช่วยแถลงไข
ท้องพระโรงที่แต่เดิมเคยเงียบสงบและมีบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง
“ท่านมหาเสนาฉิน ท่านให้กำเนิดบุตรชายเช่นนี้ นับว่าสร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ให้แก่ต้าเหลียงแล้ว!”
“พูดถูกต้อง ใต้เท้าฉินเพียงผู้เดียวมีค่าเทียบเท่ากองทัพนับหมื่นนับพัน”
“มิใช่แค่กองทัพนับหมื่นนับพัน ตั้งแต่ต้าเหลียงก่อตั้งแคว้นมา สงครามกับเป่ยตี๋เกิดขึ้นทุกปี พวกเราต้าเหลียงพ่ายแพ้มากกว่าชนะ ทว่าหลังจากท่านโหวฉินเข้ารับตำแหน่งขุนนาง สถานการณ์เป็นเช่นไร? ทุกคนล้วนเห็นกับตาตนเองแล้ว”
“ฮ่า ๆๆ หากไม่ใช่เพราะตระกูลฉินพลิกสถานการณ์ สงครามจะชนะได้ง่ายดายเช่นนี้หรือ?”
“อีกอย่างโหวฉินเดินทางไปเป่ยตี๋ ทั้งยังสามารถผนวกเป่ยตี๋ทั้งหมดเข้ามาได้ เพียงแค่มีท่านโหวฉินอยู่ ราษฎรต้าเหลียงก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแล้ว”
ทุกคนต่างพูดคุยและแสดงความยินดี
แม้ฉินเทียนหู่จะภาคภูมิใจอย่างยิ่ง แต่ก็ยังประสานมือคำนับ ปฏิเสธคำชมเชยจากทุกคนอย่างถ่อมตน
“ใต้เท้าทั้งหลายเข้าใจผิดแล้ว บุตรชายข้าไม่ได้มีเจตนาจะผนวกเป่ยตี๋มาเป็นของต้าเหลียงเรา เพียงแต่ช่วยผลักดันให้เป่ยตี๋เปลี่ยนผ่านราชวงศ์เท่านั้น”
“บุตรชายข้าไม่ได้มีความทะเยอทะยานนัก แต่ไหนแต่ไรมาก็จำกัดตัวเองอยู่แค่ในพื้นที่เล็ก ๆ ที่ชายแดนเหนือ”
“ส่วนเรื่องที่ว่า พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ข้าไม่กล้ารับคำชม ต้องกล่าวว่าเป็นเพราะทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยในต้าเหลียงร่วมแรงร่วมใจจึงได้ชัยชนะเหนือเป่ยตี๋”
คำพูดเหล่านี้ของฉินเทียนหู่ไม่เพียงแต่เป็นการแก้ตัว แต่ยังเป็นคำที่ตั้งใจพูดให้ฮ่องเต้ต้าเหลียงได้ยิน
ทุกคนต่างรู้ดีว่า ฉินเฟิงจงรักภักดีต่อต้าเหลียงเพียงใด ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องฉินเฟิงมี ‘อำนาจล้นฟ้า’ อีกต่อไปแล้ว
ฉินเฟิงกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของต้าเหลียง
ด้วยพลังอำนาจยิ่งใหญ่นี้ ฮ่องเต้ต้าเหลียงกับฉินเฟิงสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
ตอนนี้ฉินเฟิงยึดครองเป่ยตี๋ ไม่ต้องสงสัย การยึดครองเป่ยตี๋ยิ่งเป็นการเสริมความสัมพันธ์ละเอียดอ่อนระหว่างเขากับฮ่องเต้ต้าเหลียงให้แข้งแกร่งขึ้น
กล่าวตามตรง ต่อให่เป็นฮ่องเต้ต้าเหลียงก็ไม่กล้าแตกหักกับฉินเฟิง
ฮ่องเต้ต้าเหลียงย่อมมองออกถึงสถานการณ์ ตอนนี้เขาจำเป็นต้องพึ่งพากำลังของฉินเฟิงเพื่อรักษาความมั่นคงของแผ่นดิน ไม่ว่าในใจจะคิดเช่นไรก็ต้องรักษาความสมดุลอันละเอียดอ่อนกับฉินเฟิงเอาไว้
ฮ่องเต้ต้าเหลียงแย้มยิ้มยินดี “มหาเสนาไม่จำเป็นต้องถ่อมตัว ปฏิเสธไปเสียหมด ฉินเฟิงเป็นถึงแม่ทัพอันดับหนึ่งา ตอนนี้ถึงกับปราบเป่ยตี๋ลงได้อีก ชายแดนต้าเหลียงของเจิ้นได้พบกับความสงบสุขชั่วนิรันดร์เพราะเขา ความดีความชอบนี้จะยกย่องสรรเสริญก็สมควรแล้วทั้งสิ้น”
“แต่ด้วยตำแหน่งและสถานะของฉินเฟิง ไหนจะความมั่งคั่ง เจิ้นไม่รู้จริง ๆ ว่าจะให้รางวัลใดแก่เขาได้อีก”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ