บทที่ 1065 ความกล้าหาญของตระกูลเฉิน
ศัตรูที่สวมเกราะหนักสีดำผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นทักษะการต่อสู้หรือความมุ่งมั่นในการสู้รบล้วนอยู่ในระดับสูงสุด องครักษ์ค่ายเทียนจีบุกเข้าไปพร้อมกับกว่าสิบคนก็ยังไม่อาจเอาชนะเขาได้
พละกำลังระดับนี้อย่างน้อยต้องเป็นหัวหน้าหน่วยแนวหน้าที่เก่งกาจและกล้าหาญในสนามรบ
ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นี้จะต้องมีความแค้นกับฉินเฟิงอย่างแน่นอน หาไม่คงไม่ระเบิดอารมณ์รุนแรงขนาดนี้
แม่ทัพในชุดเกราะดำอาศัยเกราะที่แข็งแกร่งบนร่างต้านทานการโจมตีขององครักษ์ค่ายเทียนจีขณะเดียวกันก็ใช้หอกในมือโต้กลับ ทั้งกวัดแกว่งฟาดฟันและพุ่งแทงตรงไปยังองครักษ์ค่ายเทียนจีที่ขวางหน้า
หลังจากปะทะกันอย่างดุเดือดในช่วงสั้น ๆ แม่ทัพชุดเกราะดำยังคงค่อย ๆ เข้าใกล้รถม้ามากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งเหลือระยะห่างเพียงเจ็ดแปดก้าว
ระยะห่างเพียงเท่านี้ หากแม่ทัพเกราะดำจับจังหวะได้ถูก เพียงพุ่งตัวก็สามารถแทงหอกผ่านหน้าต่างรถม้าเข้ามาได้
แค่แทงถูกคน ไม่ว่าจะใช่ฉินเฟิงหรือไม่ก็เพียงพอจะสร้างความสูญเสียที่ฉินเฟิงไม่อาจทนรับได้
ฉินเฟิงควรจะปิดหน้าต่างรถและหลบอยู่ข้างใน เพื่อหลีกเลี่ยงเคราะห์ร้าย
แต่จิตวิญญาณนักรบที่แม่ทัพเกราะดำแสดงออกมาทำให้ฉินเฟิงประทับใจอ
เกรงว่ากระทั่งแม่ทัพผู้กล้าหาญอย่างหนิงหู่และสวีโม่ก็จะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนตรงหน้านี้
ต้องรู้ไว้ว่า คนที่ล้อมโจมตีแม่ทัพเกราะดำไม่ใช่ทหารธรรมดา แต่เป็นองครักษ์ค่ายเทียนจีที่เป็นยอดฝีมือ!
ขณะที่ฉินเฟิงกำลังพินิจมองแม่ทัพชุดเกราะดำ อีกฝ่ายก็สังเกตเห็นฉินเฟิงเช่นกัน
แม่ทัพในชุดเกราะดำโกรธจัด เขาส่งเสียงคำรามต่ำราวกับเสือ แล้วสะบัดหอกฟาดองครักษ์ค่ายเทียนจีที่ขวางหน้าอย่างรุนแรง ก่อนจะฉวยจังหวะจับปลายหอกด้วยมือข้างเดียว แล้วพุ่งมาข้างหน้า
ปลายหอกแหลมคมพุ่งตรงยังฉินเฟิง ทว่าช่วงวิกฤติเป็นตาย เสียงตะโกนต่ำ ๆ ก็ดังขึ้น
“คิดจะทำร้ายท่านโหวฉิน ฝันไปเถิด!” คนคำรามด้วยความโกรธไม่ใช่อู๋ถัง เป็นเพียงองครักษ์ค่ายเทียนจีคนหนึ่ง
แน่นอนว่าองครักษ์ค่ายเทียนจีก็มีทั้งคนอ่อนแอและคนแข็งแกร่ง บางคนอาศัยเพียงร่างกายแข็งแรง หลังเข้าร่วมค่ายเทียนจีจึงเริ่มฝึกฝน ขณะที่บางคนก่อนที่จะเข้าร่วมค่ายเทียนจีก็เป็นผู้ที่มีวรยุทธ์เป็นเลิศอยู่ก่อนแล้ว
แม้จะผ่านการฝึกฝนเหมือนกัน พลังและความสามารถขององครักษ์ค่ายเทียนจีแต่ละคนเลยแตกต่างกันไปบ้าง
องครักษ์หนุ่มที่กระโดดขึ้นมาบังหน้าต่างรถอย่างกะทันหันใช้รักแร้ขวาหนีบหอกไว้ จากนั้นมือขวาก็คว้าด้ามหอก แล้วอาศัยน้ำหนักตัวหักด้ามหอกเป็นสองท่อน
เขาทิ้งหอกที่หักแล้วลง หมุนขวานเล็กในมือและขว้างใส่แม่ทัพเกราะดำ
แม่ทัพเกราะดำใช้ด้ามหอกที่เหลือครึ่งท่อนปัดขวานออก ตอนนี้เอง องครักษ์ค่ายเทียนจีที่อยู่รอบข้างเข้าประชิดตัวเขา เชั่วพริบตา แม่ทัพเกราะดำถูกกดลงกับพื้นจนขยับไม่ได้
องครักษ์ค่ายเทียนจีคนหนึ่งชักค้อนเล็กออกจากเอว แล้วฟาดเข่าของแม่ทัพเกราะดำ
เข่าของแม่ทัพชุดเกราะดำถูกทุบจนแตกละเอียด ส่งเสียงดังน่าขนลุก แต่แม่ทัพชุดเกราะดำกลับขบกรามแน่น ไม่ส่งเสียงร้องแม้แต่น้อย
กระทั่งเข่าทั้งสองข้างของแม่ทัพถูกทุบแตก องครักษ์ค่ายเทียนจีจึงเก็บค้อนเล็ก แล้วกระชากหมวกเกราะของแม่ทัพชุดเกราะดำออก
ใบหน้าที่ปรากฏต่อสายตา กลับเป็นชายหนุ่มอายุยังไม่ถึงยี่สิบปี ยังเยาว์วัยนัก!
อายุยังน้อยกลับกล้าหาญและบ้าคลั่งถึงเพียงนี้ สมกับคำว่า ‘คนรุ่นหลังน่าเกรงขาม’ จริง ๆ
ฉินเฟิงจ้องมองชายหนุ่มด้วยความสงสัย ก่อนเอ่ยถาม “เจ้าเป็นใคร? พวกเรามีความแค้นใดต่อกันหรือ?”
ชายหนุ่มกัดฟันแน่น ทนรับความเจ็บปวดรุนแรงที่เข่า ดวงตาแดงก่ำจ้องฉินเฟิงด้วยความแค้นเคือง
เขาเอ่ยทีละคำ “ข้าแซ่เฉิน!”
เมื่อได้ยินแซ่ของอีกฝ่าย ฉินเฟิงก็เข้าใจแล้ว “ที่แท้ก็เป็นคนตระกูลเฉินอีกคน”
“ฮึ ๆ ตระกูลเฉินของพวกเจ้านับเป็นตระกูลนักรบอันดับหนึ่งแห่งเป่ยตี๋จริง ๆ!”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ