บทที่ 1072 ถอดเกราะ ยุติความแค้น
หน่วยอาวุธมืดที่ไม่รู้ความจริง เมื่อเผชิญหน้ากับองครักษ์ค่ายเทียนจีที่ขวางอยู่เบื้องหน้าก็จำต้องหันหลังจากไป
แม้อู๋ถังจะเข้าใจถึงความจำเป็นในการถอนรากถอนโคน แต่ในเวลานี้ หน้าที่สำคัญอันดับแรกของเขาคือการรักษาอำนาจของฉินเฟิง
อู๋ถังเห็นตอนที่เสิ่นชิงฉือสั่งให้หลิ่วหมิงกำจัดภัยคุกคามในอนาคต
เสิ่นชิงฉือก็มีเจตนาดี แต่การกระทำเช่นนี้ สำหรับฉินเฟิงแล้วมีอันตรายมากเกินไป
เพื่อเห็นแก่ฉินเฟิง หลิ่วหมิงถึงขั้นยอมฝ่าฝืนคำสั่งต่อหน้าผู้คน ภาพเหตุการณ์นี้ถูกหน่วยอาวุธมืดคนอื่นเห็น ต่อไปคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนเอาเยี่ยงอย่าง
การบีบบังคับโดยการเอาชีวิตเข้าแลก หากคราวนี้ฉินเฟิงยอมประนีประนอม แล้วต่อไปใครจะสามารถควบคุมองครักษ์เสื้อแพรได้
แต่หากไม่ยอมประนีประนอม สังหารหลิ่วหมิงเสีย ผลลัพธ์จะยิ่งอันตรายจะมากกว่า!
เพื่อคนตระกูลเฉิน ต้องสังหารผู้ใต้บังคับบัญชาที่จงรักภักดี ผลกระทบต่อขวัญกำลังใจนี้ไม่อาจกล่าวได้ว่าน้อย
ฉินเฟิงคาดการณ์ไว้แล้วว่า ความใจอ่อนของตนที่มีต่อคนตระกูลเฉินจะต้องกระตุ้นให้องครักษ์เสื้อแพรต่อต้านอย่างแน่นอน มิใช่เพราะองครักษ์เสื้อแพรไม่จงรักภักดี แต่เป็นเพราะหน้าที่กับความรับผิดชอบเกิดความขัดแย้งกัน
ตลอดมา แม้ฉินเฟิงจะเด็ดเดี่ยวรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด ตัดสินใจฆ่าฟันอย่างเฉียบขาด แต่ก็ล้วนทุ่มเทไปในทิศทางเดียวกันกับองครักษ์เสื้อแพร
เมื่อเกิดความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ความขัดแย้งย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฉินเฟิงมองหลิ่วหมิงที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า แล้วพูดอย่างจนปัญญา “หลิ่วหมิง เจ้าก็ชอบทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้นด้วยหรือ?”
“ถึงข้าจะปล่อยคนตระกูลเฉินไป นั่นก็เป็นการกระทำของข้าเอง วันหน้าหากเจ้าจะฆ่าพวกเขา ข้าก็ห้ามเจ้าไม่ได้”
“แต่ตอนนี้เจ้าออกหน้ามาต่อต้านข้า ทำให้ข้าลำบากใจนัก”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไป เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าตนเองใจร้อนจนทำให้ฉินเฟิงเสียหน้าต่อหน้าผู้คนมากมาย เท่ากับเป็นการผลักให้ฉินเฟิงตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก
น่าเสียดาย เขารู้สึกตัวช้าไปแล้ว การกระทำของเขาไม่เพียงแต่ไม่ได้ช่วยให้ฉินเฟิงกำจัดภัยร้าย กลับสร้างปัญหาใหญ่ให้กับฉินเฟิงเสียอีก
เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่จ้องมองสตรีน้อยในรถม้าด้วยสายตาดุดัน
“หญิงผู้นี้ช่างเป็นตัวอัปมงคลจริง ๆ!”
“ท่านโหว โปรดประหารข้าน้อยเถิด เป็นความผิดของข้าน้อยที่มองไม่เห็นผลได้เสีย”
หากเป็นในอดีตฉินเฟิงคงจะฟันดาบลงไปแล้ว การที่เขาก้าวขึ้นมาถึงตำแหน่งนี้ได้ ไม่ได้อาศัยเพียงความผูกพันฉันพี่น้อง แต่ยังต้องอาศัยอำนาจอันเด็ดขาดด้วย
ผู้ใดก็ตามที่ท้าทายอำนาจของฉินเฟิงล้วนเท่ากับเป็นการสั่นคลอนรากฐานของฉินเฟิง
แต่ครั้งนี้ฉินเฟิงกลับไม่ได้แสดงด้านที่โหดเหี้ยมออกมา
เขาสามารถละเว้นให้คนตระกูลเฉินได้ เหตุใดจะให้อภัยแขนขวาของตนเองไม่ได้เล่า?
ฉินเฟิงโยนมีดลงตรงหน้าหลิ่วหมิง “ข้าจะยอมให้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ถ้ามีครั้งหน้า ต่อให้เทพเซียนก็ช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว”
หลิ่วหมิงก้มมองมีดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด เขาหยิบอาวุธขึ้นมาแล้วหันไปมองเสิ่นชิงฉือ เตรียมจะเดินไปหา แต่ฉินเฟิงกลับเรียกไว้ แล้วกล่าวว่า
“ไม่ต้องไปรายงานพี่หญิงใหญ่แล้ว”
“นางก็แค่พลั้งเผลอโดยไม่ตั้งใจ การจะให้นางเข้าใจถึงผลได้ผลเสียในเรื่องนี้ยากเกินไป นางแค่ไม่อยากให้ข้ารู้สึกผิดเท่านั้นเอง”
“ไปทำสิ่งที่เจ้าควรทำเถิด ส่วนคนตระกูลเฉิน ข้าจะจัดการเอง”
หลิ่วหมิงไม่ลังเลอีก เขาคำนับต่ำสุด แล้วหมุนตัวจากไป
เขาไม่กังวลเรื่องคนตระกูลเฉินแล้ว อย่างที่ฉินเฟิงบอก ต่อให้ฉินเฟิงปล่อยคนตระกูลเฉินไปตอนนี้ แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า?
เมื่อถึงเวลานั้น อำนาจชี้เป็นชี้ตายของคนพวกนี้ก็ล้วนอยู่ในมือของหลิ่วหมิงมิใช่หรือ?
เพียงหลิ่วหมิงสังเกตเห็นร่องรอยผิดปกติแม้เพียงนิดเดียวก็สามารถลงมือสังหารได้แล้ว
ฉินเฟิงมองตามหลิ่วหมิงที่หายลับไปในความมืดของราตรี เขากำลังจะเดินจากไป แต่กลับได้ยินเสียงของสตรีร่างเล็กดังมาจากในรถม้า


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ