บทที่ 1131 เลื่อนตำแหน่งเป็นพระชายา
ฮองเฮาหนานกงไม่ได้พูดต่อ เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าชายแดนเหนือจะมีกำลังทางการเงินมากมายเพียงใด
ไม่ต้องพูดถึงอนาคต แม้แต่ในตอนนี้ กำลังโดยรวมของชายแดนเหนือก็ติดอันดับที่สามของต้าเหลียงแล้ว
รองจากเมืองหลวงและดินแดนทางใต้เท่านั้น
หากนับรวมซางโจวด้วย พลังอำนาจของชายแดนเหนือจะครองอันดับหนึ่งอย่างมั่นคง!
ส่วนอำเภอเป่ยซีนั้น กลายเป็นอำเภอที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้าไปแล้ว
อย่าว่าแต่ในต้าเหลียงเลย แม้แต่ทั่วทั้งใต้หล้า ไม่มีอำเภอใดที่จะเทียบกับอำเภอเป่ยซีได้
มีเพียงการเปรียบเทียบระดับ ‘มณฑล’ กับอำเภอเป่ยซีเท่านั้นที่จะเหมาะสม
ภายใต้เงื่อนไขที่ฉินเฟิงจงรักภักดีต่อต้าเหลียงยิ่งชายแดนเหนือมั่งคั่งต้าเหลียงก็จะยิ่งได้รับผลประโยชน์มากขึ้น
ในระยะสั้นชายแดนเหนือจะกลายเป็นป้อมปราการที่น่าเชื่อถือที่สุดของต้าเหลียงไม่มีแคว้นหรือเผ่าใดกล้าที่จะข้ามชายแดนเหนือมาแตะต้องพื้นที่ส่วนในของต้าเหลียง
ส่วนในระยะยาว
เกรงว่าชายแดนเหนือจะแยกจากซางโจว โดยชายแดนเหนือจะกลับไปอยู่ภายใต้การปกครองของต้าเหลียงส่วนซางโจวจะกลับคืนสู่เป่ยตี๋
แต่เนื่องจากชายแดนเหนือและซางโจวมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและผลประโยชน์ร่วมกัน ดังนั้นการแยกการปกครองในอนาคตกลับจะส่งผลกระทบต่อจักรวรรดิทั้งสองอย่างต้าเหลียงและเป่ยตี๋มากยิ่งขึ้น
ความแค้นที่สะสมมาหลายร้อยปี มีความเป็นไปได้สูงที่จะคลี่คลายลงเพราะชายแดนเหนือ
เมื่อทั้งสองฝ่ายสามารถใช้ผืนแผ่นดินนี้หาผลประโยชน์และต้องพึ่งพาอาศัยกัน แล้วจะต้องทำสงครามใหญ่กันไปเพื่ออะไร?
หลังจากฟังคำอธิบายของฮองเฮาหนานกง สาวใช้ก็เข้าใจเจตนาของฉินเฟิงนางอ้าปากค้างด้วยความไม่อยากเชื่อ
“หมายความว่าจุดประสงค์ของฉินเฟิงไม่ใช่การยึดครองดินแดนเพื่อตั้งตนเป็นอ๋องและแยกตัวเป็นอิสระ”
“แต่เป็น การขจัดความแค้นระหว่างต้าเหลียงและเป่ยตี๋ให้สิ้นซาก เพื่อให้ราษฎรทั้งหลายอยู่อย่างสงบสุข ไม่ต้องเผชิญกับไฟสงครามอีกต่อไป?”
แม้ฮองเฮาหนานกงจะไม่ตอบ แต่ความเงียบก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดแล้ว
สาวใช้เอามือปิดปาก นางไม่คิดว่าคนผู้นั้นจะมีเป้าหมายยิ่งใหญ่เช่นนี้
“บ่าวเข้าใจแล้วว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงไว้วางพระทัยฉินเฟิงเช่นนี้”
“พระองค์ต้องทรงหยั่งรู้เจตนาของฉินเฟิงแล้วแน่นอน จึงทรงมอบอำนาจให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชายแดนเหนือยิ่งแข็งแกร่งเท่าไร ต้าเหลียงในอนาคตก็จะยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น และต้าเหลียงจะไม่มีวันเปลี่ยนแซ่ ดังนั้นทุกสิ่งที่ฉินเฟิงทำในวันนี้ล้วนเป็นการทุ่มเทเพื่อราชวงศ์ตระกูลหลี่”
ฮองเฮาหนานกงไม่ได้พูดอะไร
ภายในหนึ่งถึงสองชั่วอายุคน ราชวงศ์ตระกูลหลี่คงไม่ต้องกังวลอะไร
แต่หลังจากสองชั่วอายุคนไปแล้ว สถานการณ์คงไม่กลมเกลียวเช่นทุกวันนี้
เรื่องในอนาคต แม้แต่อัจฉริยะอย่างฉินเฟิงก็ไม่อาจคาดเดาได้ ดังนั้นเป้าหมายที่เขาตั้งไว้จึงยิ่งใหญ่ผิดปกติ แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้
การรับประกันความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนได้หนึ่งถึงสองรุ่นคน นับเป็นขีดจำกัดความสามารถของฉินเฟิงแล้ว
ฮองเฮาหนานกงไม่ได้มีความเกลียดชังหรือรังเกียจฉินเฟิงแม้แต่น้อย กลับยังรู้สึกชื่นชมจากก้นบึ้งของหัวใจ
ใต้หล้านี้มีเพียงสามคนเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับฮองเฮาหนานกงได้
หนึ่งคือฮ่องเต้ต้าเหลียงสองคือหลินเวินหว่านที่ถูกกำจัดไปแล้ว และคนที่สามก็คือฉินเฟิง
มีเพียงฉินเฟิงเท่านั้นที่ทำให้ฮองเฮาหนานกงต้องพบกับอุปสรรคทุกย่างก้าว
นางเงยหน้ามองรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม ในใจรำพึงอย่างสะท้อนใจ
“ด้วยสถานการณ์ของฉินเฟิงสงครามทางใต้จะต้องรุนแรงเหลือคณานับ”
“ตัวข้าก็ใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว การพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินครั้งนี้ คงต้องขึ้นอยู่กับดินแดนทางใต้เอง”
ในเวลาเดียวกัน ข่าวก็ได้ส่งมาถึงจวนหนิงกั๋วกง
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์รีบกลับมาที่จวนเพื่อเปลี่ยนชุดแต่งตัวให้งดงาม เตรียมต้อนรับฉินเฟิง
แต่ขณะที่กำลังผลัดเปลี่ยนอาภรณ์อยู่นั้น กลับมีเสียงตะโกนของสาวใช้ดังมาจากนอกประตู


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ