บทที่ 116 น้ำดีอย่าปล่อยให้ไหลเข้าทุ่งคนนอก
“ถูกต้อง!”
เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงกล่าวทุกอย่างได้ตรงประเด็น ใบหน้าของฉินเทียนหู่ก็ดูดีขึ้น
แม้ว่าเรื่องสงครามจะได้ข้อสรุปแล้ว แต่การเตรียมการด้านการทหารนั้นเป็นกระบวนการที่ยาวนาน อย่างมาก อาจนานถึงหนึ่งปีครึ่ง หรืออย่างเร็วที่สุดก็สามถึงสี่เดือน
ในช่วงเวลานี้ ฝ่ายกรมคลังมีเวลาเหลือเฟือที่จะปลุกปั่นปัญหา และขับไล่ฉินเทียนหู่ออกจากตำแหน่ง
ท้ายที่สุดแล้วสำหรับขุนนาง ผลประโยชน์ของแว่นแคว้นสามารถวางไว้ข้างหลังได้ การต่อสู้ของฝักฝ่ายเป็นสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญมากกว่า เมื่อเหยียบลงบนถนนแห่งการต่อสู้ฝั่งใดฝั่งหนึ่งแล้ว ย่อมไม่มีหนทางให้ถอยกลับอีกต่อไป
ฉินเทียนหู่ถอนหายใจอย่างรู้สึกหมดหนทาง “แน่นอนว่าสงครามเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ยามสงครามนี้สิ้นสุดเมื่อใด ฝุ่นควันก็จะจางลงเมื่อนั้น ทุกวันนี้การต่อสู้ในราชสำนักเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าพ่อจะได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้ แต่ก็ยังคงเดินอยู่บนน้ำแข็งบาง ๆ เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ขุนนางทุกระดับในราชสำนักล้วนเกี่ยวโยงกันอย่างลึกซึ้ง ดึงแค่จุดเดียวก็สั่นสะเทือนไปทั้งหมด แม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางเลือก”
ฉินเฟิงย่อมเข้าใจในส่วนได้ส่วนเสีย กล่าวคือกรมคลังเป็นเพียงเปลือกนอก หากเขาลอกเปลือกนี้ออก ก็จะเห็นแก่นหลักที่อยู่ข้างในซึ่งเป็นเลือดของราชวงศ์ทั้งหมด
ฉินเทียนหู่ยังคงยิ้มอย่างขมขื่น “พิธีชำระอาภรณ์นี้ นำโดยกรมพิธีการซึ่งมีกรมคลังจัดสรรงบประมาณให้ และมีพ่อเป็นเจ้าภาพ เห็นได้ชัดว่ากรมพิธีการและกรมคลังมีส่วนรู้เห็น กลัวว่าจะเป็นกลยุทธ์ซ่อมสะพานไม้ลอบตีเฉินชาง*[1] ถ้าหากพิธีชำระอาภรณ์นี้เรียบร้อยดี ย่อมไม่ต้องพูดอันใดอีก แต่หากไม่เรียบร้อย มันจะเป็นความรับผิดชอบของพ่อ”
ในมุมมองของฉินเฟิง เป็นเรื่องปกติที่กรมคลังจะสร้างปัญหา คงจะแปลกถ้าอีกฝ่ายซื่อสัตย์ต่อหน้าที่
ชายหนุ่มคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา “ไม่รู้ว่ากรมคลังจัดสรรเงินจำนวนเท่าใดสำหรับพิธีชำระอาภรณ์นี้นะขอรับ?”
สีหน้าของฉินเทียนหู่น่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง เขากัดฟันเอ่ย “หนึ่งพันตำลึงเงิน พวกขุนนางกรมคลังนั่นสมควรลากออกไปตัดศีรษะเสียให้หมด พวกเขาพูดว่าพิธีชำระอาภรณ์ใช้เงินไม่มาก หนึ่งพันตำลึงเงินก็เพียงพอ หากมิใช่เพราะเกรงใจในความศักดิ์สิทธิ์ของพระตำหนัก ข้าคงฉีกบรรดาจิ้งจอกเฒ่าออกเป็นชิ้น ๆ แล้ว!”
งานใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ล้วนเป็นการผลาญเงิน
สุดท้ายแล้วต่อให้สั้นกระชับเรียบง่ายเพียงใดก็ไม่สามารถลดความโอ่อ่าของราชวงศ์ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีความเอิกเกริก
ฉินเฟิงคำนวณคร่าว ๆ ในใจ และพบว่าจะต้องมีเงินอย่างน้อยสามหมื่นตำลึงเงินจึงจะสามารถดำเนินพิธีชำระอาภรณ์นี้ได้
หากกรมคลังปฏิเสธที่จะออกเงินจำนวนนี้ จวนตระกูลฉินก็ต้องออกเงินเอง
แต่ฉินเฟิงก็ไม่ต้องการออกเงินเช่นกัน
หลังจากไตร่ตรองอยู่สักครู่ แผนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาทันที เขาตบหน้าอก และเอ่ยรับปากกับฉินเทียนหู่ว่า “ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของลูกเถอะ แต่ว่าความช่วยเหลือของลูกจะช่วยเปล่า ๆ ไม่ได้!”
ฉินเทียนหู่รู้จักฉินเฟิงเป็นอย่างดี และรู้ว่าเด็กเหลือขอคนนี้มีอุบายมากมาย เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้นก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมา
ทว่าครึ่งประโยคหลังกลับทำให้ฉินเทียนหู่โมโหอย่างมาก ไอ้เจ้าลูกกระต่ายนี่หาประโยชน์โดยไม่สนหัวบิดาแล้ว สามวันไม่ตีปีนหลังคาเลาะกระเบื้อง มีอย่างที่ไหนกัน!
ฉินเทียนหู่อดทน และเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “หากคำขอไม่มากเกินไป พ่อก็จะยอมให้เจ้า”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ