บทที่ 1178 ความก้าวหน้าของเป่ยซี
องค์หญิงจิ่งฉือและคณะยังคงรับรู้ว่าเป่ยซีเป็นเพียงอำเภอที่มั่งคั่งร่ำรวยเท่านั้น
แม้อำเภอจะร่ำรวยเพียงใด ก็ยังคงเป็นเพียงอำเภอ
แต่ว่า…
อำเภอเป่ยซีได้พลิกความเข้าใจของพวกนางโดยสิ้นเชิง แม้อำเภอเป่ยซีจะมีชื่อเป็นเพียงอำเภอ แต่ความจริงแล้วมีขนาดเทียบเท่ามณฑล
หลังจากการขยายอำเภอหลายครั้ง ขนาดของอำเภอใหญ่โตจนยิ่งใหญ่กว่าเมืองอวี่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น ‘เมืองอันดับหนึ่งในใต้หล้า ของเป่ยตี๋เสียอีก
ยิ่งองค์หญิงจิ่งฉือก้าวเข้าไปในอำเภอ ก็ยิ่งรู้สึกตื่นตะลึง
กำแพงเมืองชั้นนอกสามชั้นของอำเภอเป่ยซีแต่เดิมมีไว้เพื่อการทหารล้วน ๆ แต่เนื่องจากอำเภอเป่ยซีมีประชากรมากเกินไป
แม้แต่กำแพงเมืองก็ถูกดัดแปลงให้เป็นทั้งพื้นที่ทางทหารและที่อยู่อาศัย เหลือเพียงบริเวณกำแพงเท่านั้นที่ยังคงไว้เพื่อการทหาร ส่วนพื้นที่ภายในถูกสร้างเป็นบ้านเรือนเต็มไปหมด
กำแพงชั้นแรกมีพื้นที่กว้างที่สุด มีทุ่งนาขนาดใหญ่และหมู่บ้านกระจายอยู่ทั่วไป
แม้จะเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิที่อากาศหนาวเย็น ทุ่งนายังดูรกร้าง แต่แปลกที่มีประชาชนสัญจรไปมาในทุ่งนาอยู่เสมอ
ประชาชนเหล่านี้ บ้างก็ขี่ลา บ้างก็ขับรถม้า แทบไม่มีใครเดินเท้า
องค์หญิงจิ่งฉือตะลึงจนอ้าปากค้าง “นี่หมายความว่า… ประชาชนในอำเภอเป่ยซีร่ำรวยถึงขนาดนี้แล้วหรือ? แม้แต่ชาวนาธรรมดาก็เลี้ยงสัตว์เป็นพาหนะได้?”
นางรีบหันตัววิ่งไปในกลุ่มคน เพื่อตามหานายอำเภอหลินฉวีฉีแห่งอำเภอเป่ยซีที่มารอรับอยู่
“ท่านนายอำเภอหลิน สัตว์เลี้ยงที่ชาวบ้านเหล่านี้เลี้ยงไว้มาจากที่ใดกัน? หรือว่าพวกเขารับจ้างเลี้ยงให้ตระกูลใหญ่?”
เมื่อได้ยินคำถามขององค์หญิงจิ่งฉือหลินฉวีฉีอดไม่ได้ที่จะยิ้มพลางอธิบาย
“สัตว์เลี้ยงเหล่านี้ล้วนเป็นของที่ชาวบ้านซื้อมาเอง”
อะไรนะ?!
องค์หญิงจิ่งฉือแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง แม้แต่เป่ยตี๋ที่เป็นแหล่งผลิตม้า ชาวบ้านธรรมดาก็ไม่มีทางซื้อได้
เป่ยตี๋อาศัยทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ทำให้ต้นทุนการเลี้ยงม้าต่ำ แม้จะเป็นเช่นนั้น ม้าแต่ละตัวก็ยังมีราคาถึงยี่สิบตำลึง
ชาวบ้านเป่ยตี๋ทั่วไป แต่ละครัวเรือนหนึ่งปีเก็บเงินได้เพียงหนึ่งตำลึงเท่านั้น
พูดอีกอย่างหนึ่งคือ หากต้องการซื้อม้าสักตัว ต้องอดข้าวอดน้ำถึงยี่สิบปี
“ท่านนายอำเภอหลิน ชาวบ้านเหล่านี้ หนึ่งปีสามารถเก็บเงินได้เท่าไร?”
หลินฉวีฉีตอบออกมาทันทีโดยไม่ต้องคิด “ประมาณแปดถึงเก้าตำลึงกระมัง”
คราวนี้ไม่เพียงแต่องค์หญิงจิ่งฉือเท่านั้น แม้แต่พ่อค้าและขุนนางเป่ยตี๋ที่มาด้วยก็ตะลึงจนพูดไม่ออก
สายตาที่พวกเขามองมาที่หลินฉวีฉีล้วนเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
“ชาวนาทั่วไปจะมีเงินเหลือแปดถึงเก้าตำลึงต่อปีได้อย่างไร? หรือว่าข้าวที่ปลูกในอำเภอเป่ยซีเป็นเม็ดทองไปหมดแล้ว?”
“สวรรค์! ต้องรู้ไว้ว่าในเป่ยตี๋ของพวกข้า แม้แต่ตระกูลร่ำรวยก็ยังไม่มีเงินเหลือถึงแปดเก้าตำลึงต่อปี”
“ท่านนายอำเภอหลินคงกำลังล้อเล่นแน่ ๆ”
เมื่อเผชิญกับความสงสัยของผู้คน หลินฉวีฉียิ้มน้อย ๆ พลางอธิบายอย่างภาคภูมิใจ
“ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณการปกครองของฉินอ๋อง”
“ทุกท่านก็เห็นแล้วว่า อำเภอเป่ยซีมีกำแพงเมืองถึงสามชั้น และกำแพงชั้นนอกสุดมีประโยชน์ทางการทหารมากที่สุด”
“หากเกิดสงคราม กำแพงชั้นแรกจะใช้เก็บกองกำลังทหารและเสบียงจำนวนมาก เป็นแนวป้องกันด่านแรกในการรักษาเมือง”
“กำแพงชั้นแรกนี้ หรือเรียกว่าเมืองชั้นนอก มีพื้นที่ถึงสองหมื่นหมู่ แต่มีประชาชนอาศัยอยู่ไม่ถึงห้าร้อยคน”
“พื้นที่สองหมื่นหมู่นี้ให้คนห้าร้อยคนนี้เป็นผู้เพาะปลูก”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ องค์หญิงจิ่งฉือขมวดคิ้วเล็กน้อย


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ