บทที่ 150 ทลายกระบวนทัพตัดสินการต่อสู้
เขาโยนอ้อยทิ้งแทนการทุบตีหัวฉินเฟิง การเคลื่อนไหวเล็ก ๆ นี้อยู่ภายใต้สายตาของหลี่ซวี่ แววตาของเลขาธิการกรมคลังอดไม่ได้ที่จะฉายแววดุร้าย แต่แววตานั้นก็หายวับไปในเวลาไม่นาน
ฉินเฟิงหันหลัง เดินไปที่แนวหน้าของกองทัพสวีโม่ เมื่อมองไปยังเหล่าทหารที่อยู่ภายใต้ความกดดัน เขากลับรู้สึกผ่อนคลาย และพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มขี้เล่น “อีกฝ่ายมีคนมากมายขนาดนี้ นี่มันรังแกกันชัด ๆ! ถ้าสู้กันแล้วก็อย่าได้เกรงใจ ฝังศพพวกมันซะ!”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ หนิงหู่ก็โกรธจนตัวสั่น
เจ้าหมอนี่! คน ๆ หนึ่งจะไร้ยางอายขนาดนี้ได้อย่างไร เขาขอให้คู่ต่อสู้อ่อนข้อให้ แต่สั่งให้คนของตัวเองลงมือถึงตาย?
เดิมทีหัวใจของเหล่าทหารทั้งหมดร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว ไม่มีความหวังกับการต่อสู้ครั้งนี้แม้เพียงนิด แต่เมื่อเห็นฉินเฟิงผ่อนคลายเช่นนี้ อารมณ์ของทุกคนก็สงบลง
ฉินเฟิงกัดอ้อยอย่างดุเดือด แล้วเคี้ยวหงุบหงับ “ดังคำกล่าวที่ว่า การแพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาในสนามรบ แพ้ไม่กลัว กลัวแต่จะต้องสูญเสียจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้! ตราบใดที่ทุกคนทุ่มสุดกำลัง แม้ว่าจะแพ้ทุกคนก็จะได้รับสิบตำลึงเงิน”
เมื่อได้ยินดังนั้น แววตาของทุกคนก็สว่างขึ้นทันที
ฉินเฟิงตีเหล็กต่อไปในขณะยังร้อน “ถึงเวลานั้นพี่น้องทุกคนจะได้ติดตามสวีโม่ไปทำสงครามกับเป่ยตี๋เพื่อแว่นแคว้น เมื่อพวกเจ้าได้รับรางวัลตามคุณงามความดี พวกเจ้าก็จะไม่ได้เป็นเพียงเบี้ยอีกต่อไป พวกเจ้าทุกคนจะสามารถหลุดจากตำแหน่งปัจจุบัน ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด เป็นเกียรติแก่บรรพบุรุษ และวงศ์ตระกูล!”
เงินสิบตำลึงเงินนั้นเพียงช่วยจุดประกายจิตวิญญาณการต่อสู้ของทุกคนอีกครั้งเท่านั้น
แต่คำพูดถัดมาทำให้เลือดในกายของเหล่าทหารเดือดพล่าน
แม้ว่าในขณะที่ทำงานอยู่ในหน่วยลาดตระเวนจะไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้า แต่พื้นที่สำหรับความก้าวหน้าก็แทบจะเป็นศูนย์ หากมีโอกาสไปชายแดน และสร้างคุณงามความดีจริง ๆ ก็เทียบเท่ากับได้มีโอกาสขึ้นสวรรค์
ความกลัวในใจของเหล่าทหารพลันหายไป พวกเขากำหมัดแน่น และจ้องมองไปที่ฉินเฟิงด้วยสายตาร้อนแรงหาใดเปรียบ
ฉินเฟิงยกอ้อยขึ้นสูงเหนือศีรษะ แล้วตะโกนก้อง “ทหารที่ไม่อยากเป็นนักรบไม่ใช่ทหารที่ดี! ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะมีส่วนร่วมสร้างคุณูปการให้แก่ต้าเหลียง และทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์!”
ดวงตาของทหารทุกคนรวมถึงสวีโม่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ทุกคนคำรามกึงก้อง
“เพื่อต้าเหลียง! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!”
ด้วยจำนวนคนเพียงสามร้อย แต่พลังที่พวกเขาปล่อยออกมาเทียบได้กับกองทหารประจำการทั่วไปกองหนึ่งแล้ว
ฉินเฟิงพอใจ และก้าวเดินอย่างเชื่องช้าจากไปอย่างไม่ใส่ใจ ในขณะที่ปากก็เคี้ยวอ้อยไปด้วย
ขุนนางบุ๋นและบู๊ในที่เกิดเหตุเงียบสนิท พวกเขามองไปที่แผ่นหลังของฉินเฟิงอย่างเหลือเชื่อ
แววตาขององค์ชายรองเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ส่วนแววตาขององค์ชายเจ็ดเต็มไปด้วยความเร่าร้อน
ฮ่องเต้แคว้นเหลียงแค่นเสียงหึ ทรงพระสรวลอย่างแฝงความนัย “อายุยังน้อย แต่กลับมีทักษะช่ำชองในการปลุกใจผู้คน”
ฉินเทียนหู่ซึ่งแต่เดิมไม่มีความหวังใด ๆ เมื่อเห็นว่าหลังจากฉินเฟิงพูดออกมาไม่กี่คำ กองทัพสวีโม่ก็เปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหว เขาก็อดไม่ได้ที่จะตั้งตารอ จึงไม่โอ้เอ้อีกต่อไป เสนาบดีกรมกลาโหมตะโกนขึ้นทันที “เริ่มได้!”
ในการประลองครั้งก่อน ตามคำสั่งของฉินเทียนหู่ ทั้งสองฝ่ายก็จะเริ่มต่อสู้กัน
แต่ครั้งนี้กลับไม่มีฝ่ายใดขยับ!
หนิงหู่ไม่เพียงเป็นลูกหลานแม่ทัพเท่านั้น แต่ยังศึกษาเกี่ยวกับการทหารมาตั้งแต่ยังเล็กอีกด้วย ความสามารถทางทหารของเขาไม่ใช่สิ่งที่ผู้อื่นจะเทียบได้
หนิงหู่ได้แบ่งทหารหนึ่งพันคนออกเป็นสี่กอง
กองพันที่หนึ่งคือทหารราบเกราะหนักสามร้อยนาย กองพันที่สองคือทหารราบเกราะเบาสามร้อยนาย กองพันที่สามคือพลธนูสามร้อยนาย และกองพันที่สี่คือทหารม้าหนึ่งร้อยนาย

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ