บทที่ 175 สร้างอาณาเขต
หนิงหู่หันศีรษะมองหย่งอันโหว เมื่อเห็นบิดาพยักหน้า เขาก็กระโดดลงจากรถม้าอย่างตื่นเต้น แล้ววิ่งไปหาฉินเฟิง
งานเลี้ยงเยี่ยมเยือนเป็นพิธีหยุมหยิมและจืดชืดน่าเบื่อ ปล่อยให้คนรุ่นพ่อจัดการกันเองเถอะ
เมื่อทหารองครักษ์จากหน่วยลาดตระเวนเห็นฉินเฟิงมาโดยไม่ได้รับเชิญ ก็ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะหยุดเขา ซ้ำยังรีบเข้าไปต้อนรับด้วยความกระตือรือร้นด้วย
“นายน้อยฉิน ลมอะไรหอบท่านมาที่นี่?”
“ข้าก็ว่าทำไมถึงได้ยินนกสี่เชวี่ยร้องมาตลอดทั้งเช้า ว่าแล้วว่าท่านต้องมา”
“เชิญขอรับ ๆ นายน้อยฉิน ท่านโหวน้อย พวกท่านโปรดรอที่ห้องโถงสักครู่ ข้าจะไปเรียนนายกองสวีที่เรือนหลังให้ขอรับ”
หนิงหู่ผู้ร่วมทางมากับฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน
ไม่ว่าอย่างไร หน่วยลาดตระเวนก็เป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญของเมืองหลวง ไม่ต้องเอ่ยถึงคนธรรมดาสามัญ แม้ว่าเจ้ากรมเมืองจะมาก็ยังต้องแจ้งก่อน แต่ฉินเฟิงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น
ดูเถิด สถานะปัจจุบันของนายน้อยฉินถึงขนาดสูงกว่าเจ้ากรมเมืองแล้วนั่น!
แต่หลังจากคิดถึงเรื่องนี้แล้ว หนิงหู่ก็รู้สึกโล่งใจ
ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงนำทหารองครักษ์หน่วยลาดตระเวนสามร้อยคนมาเปิดตัวอย่างยอดเยี่ยมในพิธีชำระอาภรณ์จนโด่งดังในเมืองหลวง
โดยธรรมชาติแล้ว ทหารองครักษ์หน่วยลาดตระเวนที่เหลือย่อมรู้สึกคับแค้นใจที่ไม่ได้รับเลือกจากเขา
บัดนี้ฉินเฟิงมีอำนาจในการแต่งตั้งแม่ทัพ หากผู้ใดต้องการไปหาความมั่งคั่งที่เป่ยตี๋ ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดประตูหลังเสียด้วยซ้ำ เพราะเพียงแค่คำพูดจากฉินเฟิงก็พอแล้ว
ไม่ต้องเอ่ยถึงทหารองครักษ์หน่วยลาดตระเวน แม้แต่นายกองบางคนในเมืองหลวงก็ยังอิจฉาตาร้อน
ดังนั้น คนเหล่านั้นจะมีพฤติกรรมอย่างนี้ก็เป็นที่เข้าใจได้…
ทันทีที่ฉินเฟิงเข้ามา เขาก็นั่งเหยียดแข้งขาบนเก้าอี้ทำทีราวกับเป็นไท่ซือในห้องโถงของหน่วยลาดตระเวน
นายน้อยฉินไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนนอกแม้แต่น้อย เขากินดื่มอย่างสบายใจเหลือคณา และถึงกับนั่งไขว่ห้างเสียด้วยซ้ำ
หากย้อนไปในอดีต แม้ว่าเขาจะญาติดีกับหน่วยลาดตระเวน เขาก็คงจะถูกตำหนิอยู่ดีเมื่อวางท่าเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นายกองและทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่รอบ ๆ ยิ้มกว้าง แทนที่จะกล่าวโทษเขา แต่กลับพูดคุยทักทายปราศรัยเป็นอย่างดี
นายกองหลี่ซึ่งนั่งเป็นประธานโต๊ะทรายเมื่อวานนี้ บัดนี้มีรอยยิ้มเต็มใบหน้า เมื่อรู้ว่าฉินเฟิงชอบกินก็รีบสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเตรียมอาหารและสุราดี ๆ มาให้
แต่ฉินเฟิงกลับโบกมือ ส่งสัญญาณให้นายกองหลี่ไม่ต้องลำบาก นายน้อยฉินยิ้มตาหยีและกล่าวว่า “ข้าเพียงมาที่นี่เพื่อพบสวีโม่ เมื่อเสร็จธุระแล้วก็จะไปทันที ไม่อยู่ทานอาหารกลางวันที่นี่แล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้นายกองหลี่ก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมา
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ สวีโม่ก็วิ่งเข้ามา เมื่อเห็นฉินเฟิง เขาก็แย้มยิ้ม “ได้ยินว่าวันนี้ตระกูลฉินจัดงานเลี้ยงใหญ่ ขุนนางและผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงต่างก็ไปเยี่ยมเยือน ข้าคิดว่าเจ้ากำลังยุ่งตัวเป็นเกลียว คงไม่ได้เห็นหน้าไปสักพัก แต่คิดไม่ถึงว่า…ไม่ทันไร เจ้าก็วิ่งหนีออกมาแล้ว”
เมื่อพูดถึงเท่านี้ สวีโม่ก็หรี่ตาลง พร้อมรอยยิ้มชั่วร้ายมุมปาก ก่อนจะเอ่ยติดตลก “พี่ฉิน เจ้าไม่อยากเข้าสังคม หรือว่ากลัวที่จะพบกับว่าที่ฮูหยินกันแน่เล่า?”
นี่มันคำถามอะไรกัน?!
ฉินเฟิงผุดลุกขึ้นยืนตรง ตบหน้าอกผึ่งผาย ทำท่าทางไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน “ไร้สาระ! ข้า ฉินเฟิง ดูเหมือนเป็นคนกลัวเมียรึ? ยิ่งไปกว่านั้น เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ยังไม่ได้ตบแต่งกับข้า ตระกูลฉินยังไม่มีที่ให้นางสำแดงแสนยานุภาพ!”
หนิงหู่กับสวีโม่มองหน้ากัน จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง
เมื่อทั้งสองคนยิ้ม ทหารองครักษ์ และนายกองที่อยู่รอบ ๆ ก็หัวเราะไปด้วย
หัวเราะบ้านเจ้าสิ!
ฉินเฟิงหน้าแดง และเดินออกไปทันที
พวกเขาทั้งสามออกจากหน่วยลาดตระเวนด้วยกัน หนิงหู่ตามมาข้างหลัง ถามขึ้นอย่างสบาย ๆ “พี่ฉิน เราจะไปที่ไหนกัน? ถ้าแค่อยากซ่อนตัวเพื่อผ่อนคลาย ไม่สู้ไปหอสุราธารหยกเล่า? ห้องส่วนตัวพวกนั้นที่เจ้าทำค่อนข้างโด่งดังในเมืองหลวง คนธรรมดาใช่ว่ามีเงินแล้วจะเข้าไปได้”
ฉินเฟิงประสานมือไพล่หลัง ดูราวกับทหารผ่านศึกกำลังไตร่ตรอง ก่อนที่เขาจะ ‘แสดงความเจ็บแค้น’ ที่ทุกคนพากันหัวเราะเยาะเรื่องเขากลัวเมีย นายน้อยฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “จะเกาะข้ากินเปล่ารึ? จะมีเรื่องดี ๆ แบบนั้นได้อย่างไรกัน!”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ