บทที่ 182 ไม่มีใครกล้ายุ่ง
แม้ว่าหลินเฟยโม่จะไม่ได้กลับเมืองหลวงมาหลายปี แต่ขุนนางและแม่ทัพของเมืองหลวงไม่มีใครกล้าขัดเจตนารมณ์ของเขา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ… ไม่มีใครกล้าแบกรับกับความโกรธเกรี้ยวของกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง
ทันใดนั้นเสียงของฉินเฟิงก็ดังขึ้น “เฮ้ นั่นใครน่ะ! เมื่อกี้เจ้าบอกว่าข้าทำให้เจ้าโกรธได้สำเร็จ เอ้า! แล้วไงต่อล่ะ?”
ฉินเฟิงกำลังยั่วยุหลินเฟยโม่!
หลิ่วหงเหยียนรู้ดีว่าน้องชายตัวแสบของนางไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดินมาโดยตลอด แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นที่โปรดปรานแค่ไหน เขาก็ยังเป็นเพียง ‘คนนอก’ ไม่สามารถเทียบได้กับพระญาติในราชวงศ์อย่างหลินเฟยโม่ผู้นี้
ราชสำนักและวังหลัง แต่โบราณก็ดูแลเกื้อกูลซึ่งกันและกันมาโดยตลอด
ตระกูลของนางสนมต้องมีอำนาจจึงสามารถทำให้สถานะของนางสนมมีเสถียรภาพมั่นคงได้
และหากนางสนมเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท นางก็สามารถเลี้ยงดูส่งเสริมคนในตระกูลได้เช่นกัน
บัดนี้ภายในวังหลัง ฮองเฮาผู้เป็นมารดาของแผ่นดินทรงถือศีลภาวนา และสวดมนตร์ตลอดทั้งวัน แทบจะไม่ก้าวก่ายกับเรื่องทางโลก ด้วยเหตุนี้ แม้ว่ากุ้ยเฟยจะไม่มีตำแหน่งเป็นเจ้าแห่งหกตำหนัก แต่ก็มีอำนาจอย่างแท้จริงในการถือสิทธิ์นั้น
อีกทั้ง… บิดาของกุ้ยเฟยคือไท่เป่าแห่งราชวงศ์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นถึงหนึ่งในสามมหาเสนาบดี!
เมืองหลวงแห่งต้าเหลียงนี้อาจกล่าวได้ว่า นอกเหนือจากราชวงศ์หลี่แล้ว มีเพียงตระกูลหลินเท่านั้นที่มีอำนาจมากที่สุด!
หลิ่วหงเหยียนกลัวว่าฉินเฟิงจะทำให้สิ่งต่าง ๆ แย่ลง จึงคิดจะลากเขากลับมา
นายน้อยฉินไม่เพียงแต่ไม่มีความตื่นตระหนกแม้เพียงครึ่ง แต่ยังคงเพิกเฉยต่อเบื้องหลังที่น่าทึ่งของหลินเฟยโม่ เขาพูดอวดดีอย่างไม่ใส่ใจ “พี่หญิงรอง ใต้หล้านี้ไม่มีบุรุษคนใดสามารถมองท่านด้วยสายตาแบบนั้นได้นอกจากข้า!”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้
หัวใจของหลิ่วหงเหยียนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางรู้สึกถึงการปกป้องอย่างไม่ต้องสงสัยในดวงตาของฉินเฟิง หัวใจก็เต้นเร็วรัว
หลิ่วหงเหยียนกัดริมฝีปากบางของนางเบา ๆ แก้มแดงก่ำ บอกไม่ถูกว่าพอใจหรือโกรธ “เฟิงเอ๋อร์ ฟังข้า! ถ้าเราขัดแย้งกับตระกูลหลิน หนทางของตระกูลฉินก็จะแคบลง”
นี่คือความจริง
ฉินเฟิงรู้ดี และถ้าเขาไม่ได้ถูกรังแกอย่างหยามหน้า ฉินเฟิงจะต้องดันทุรังต่อสู้กับหลินเฟยโม่ไปทำไม?
อีกอย่าง…
ฉินเฟิงจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าฮูหยินฉิน ถูกลดตำแหน่ง และต้องกลับไปยังบ้านเก่าก็เพราะทำให้กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงขุ่นเคือง
อาจกล่าวได้ว่าตระกูลฉินกับตระกูลหลินมีบุญคุณความแค้นต่อกันมายาวนานแล้ว
ฉินเฟิงใช้มือข้างหนึ่งรวบเอวหลิ่วหงเหยียน ใช้มืออีกข้างหนึ่งตบหน้าอกของตนเองด้วยสีหน้ามาดมั่น “วางใจเถอะ ในที่ดินหนึ่งหมู่ของเมืองหลวงผืนนี้เป็นของเราแล้วสามส่วน เราไม่ต้องกลัวใครทั้งนั้น!”
แก้มของหลิ่วหงเหยียนแดงก่ำ นางต้องการจะเตือนฉินเฟิงให้ระมัดระวังคำพูดและการกระทำ
แต่เมื่อมองดูท่าทางลำพองของเขาแล้วก็ต้องกลืนคำพูดกลับลงไปอีกครั้ง
เฮ้อ!
ไม่รู้ว่าเป็นวาสนาหรือคราวเคราะห์ แต่หากเป็นคราวเคราะห์อย่างไรก็คงหลบไม่พ้น!
ในตอนนั้นเอง เสียงเย็นชาของหลินเฟยโม่ก็ดังขึ้น “ปากดีเสียจริง! ถึงคราวที่ตระกูลฉินจะเป็นผู้ตัดสินใจในเมืองหลวงนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินเฟิงก็มีความสุขนัก เขาหันมองหลินเฟยโม่ด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ก็พูดได้? ข้าคิดว่าเจ้าเป็นใบ้เสียอีก! เจ้าพูดถูกต้อง นี่ไม่ใช่คราวที่ตระกูลฉินจะเป็นผู้ตัดสินใจในเมืองหลวง แต่เกรงว่าก็คงไม่ใช่คราวที่ตระกูลหลินของพวกเจ้าจะวิจารณ์คนอื่นมั่วซั่วกระมัง? ทำไม สกุลของต้าเหลียงนี้ไม่ใช่หลี่แต่เปลี่ยนเป็นหลินแล้วรึ?”
ความตื่นตระหนกที่พบได้ยากแวบผ่านใบหน้าของหลินเฟยโม่วูบหนึ่ง
ความตื่นตระหนกในพริบตานี้ทำให้หลินเฟยโม่โกรธมาก
ท่านป้าของเขาเป็นกุ้ยเฟยผู้สูงศักดิ์ และท่านปู่ก็เป็นถึงไท่เป่าของราชวงศ์ปัจจุบัน เขามีลูกศิษย์นับไม่ถ้วน ขุนนางมากมายในหกกรมและเก้าศาลเมื่อพบท่านปู่ล้วนต้องโค้งคำนับ และเรียกขานว่าท่านอาจารย์
ตั้งแต่หลินเฟยโม่ถือกำเนิด นอกจากทายาทสายตรงของราชวงศ์สกุลหลี่แล้ว ใครก็ตามที่เห็นเขาต่างก็ต้องเรียกเขาว่านายน้อย
แล้วเหตุใดในวันนี้ตัวตนของเขาถึงไร้ประโยชน์?
แค่คนเสเพลกระจอก ๆ ของตระกูลฉินคนเดียว มีอย่างที่ไหนกัน!

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ