บทที่ 184 พร้อมใจลาป่วย
หลินเฟยโม่ที่ไม่แสดงสีหน้าและอารมณ์มาโดยตลอด ในตอนนี้เผยสีหน้าภาคภูมิใจสุดขีดออกมา
ท้ายที่สุดแล้ว การจัดการกับคนหัวแข็งอย่างฉินเฟิงได้ ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในชีวิตของเขา!
อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้ทุกคนเห็นถึงผลที่จะตามมาหากกล้าทำให้ตระกูลหลินขุ่นเคืองด้วย!
เมื่อรู้ว่าผู้บัญชาการสูงสุดของค่ายตะวันออกกำลังจะมาถึง หนิงหู่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว พุ่งตัวไปข้างเก้าอี้ของฉินเฟิงที่กำลังนอนแผ่ทำตัวเหมือนอันธพาลข้างถนน ท่านโหวน้อยเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงทุ้ม “พี่ฉิน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งค่ายตะวันออก สมญานามแม่ทัพเจิ้นหย่วน เป็นหนึ่งในสี่แม่ทัพใหญ่แห่งต้าเหลียง มีผลงานโดดเด่น แม้แต่ฮ่องเต้ก็ต้องสุภาพต่อเขา หากผู้บัญชาการสูงสุดของค่ายตะวันออกมาถึงที่นี่ ข้าเกรงว่า…”
หนิงหู่ไม่ได้พูดต่อ แต่ความหมายก็ชัดเจนแล้ว เมื่อผู้บัญชาการสูงสุดแห่งค่ายตะวันออกมาถึง เรื่องราวคงไม่ได้จบลงด้วยดี ฉินเฟิงควรจะส่งคนไปไกล่เกลี่ยทันที
ทว่านายน้อยฉินกลับทำเพียงขยับตัว ปรับท่าให้สบายมากยิ่งขึ้น เพิกเฉยต่อสีหน้าเคร่งขรึมของผู้คนรอบตัว แล้วมองไปที่หลินเฟยโม่ทางประตูค่ายฝึกซ้อมด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าดูสิ เจ้าคนนั้นเหงื่อแตกพลั่กจากอากาศร้อน แต่ก็ยังเก๊กท่าทำเป็นนายน้อยสูงศักดิ์อยู่ได้ ตลกชะมัด!”
เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงยังคงยั่วโมโหหลินเฟยโม่ หนิงหู่กับสวีโม่ก็มองหน้ากัน แล้วยิ้มอย่างขมขื่น
แน่นอนว่า จุดจบของข้อบาดหมางในวันนี้มีเพียงความแตกหักกันไปข้างเท่านั้น
หากไม่ใช่ฉินเฟิงถูกบดขยี้โดยภูมิหลังของหลินเฟยโม่ เช่นนั้นก็เป็นชื่อเสียงของหลินเฟยโม่ที่ถูกทำลาย!
แต่เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ปัจจุบันไม่เอื้อประโยชน์ต่อฉินเฟิงเลย
ชั่วขณะที่ทุกคนกำลังเหงื่อตกเพราะการกระทำของนายน้อยเจ้าสำราญอยู่นั้น ผู้ส่งสารค่ายตะวันออกก็รีบเข้ามา แล้วกระซิบสองสามคำข้างใบหูของนายกองคนนั้น
นายกองค่ายตะวันออกตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหลือบมองฉินเฟิงหนึ่งครั้ง แล้วรีบรายงานต่อหลินเฟยโม่ “นายน้อยหลิน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดถูกฮ่องเต้เรียกตัวไปที่พระราชวังกะทันหัน เกรงว่า…จะมาไม่ได้แล้วขอรับ”
ทันทีที่สิ้นประโยค หลินเฟยโม่ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ
ก่อนที่ทุกคนจะได้สติกลับมา ก็มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งห้ออาชาเข้ามา เขาน่าจะเป็นทหารมือดีเช่นกัน แต่คราวนี้ผู้มาถึงไม่แม้แต่จะลงจากหลังม้าเสียด้วยซ้ำ อีกฝ่ายทิ้งระยะห่างพอควร แล้วตะโกนบอกหลินเฟยโม่ “ข้าน้อยเป็นนายกองจากค่ายตะวันตก ผู้บัญชาการสูงสุดส่งข้าน้อยมาแจ้งข่าวว่า วันนี้มีนัดหมายกับจี้อ๋อง ยากจะปลีกตัวออกมา นายน้อยหลินโปรดดูแลตัวเอง!”
หลังจากพูดจบ นายกองจากค่ายตะวันตกผู้นั้นก็หันหลังตะบึงอาชาจากไป
เมื่อนายกองจากค่ายตะวันออกเห็นเช่นนี้ เขาก็ขึ้นหลังม้าโดยไม่ชักช้า และจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
มันยังไม่จบ!
บ่าวรับใช้จากหลายจวนเข้ามาแทบจะพร้อม ๆ กัน
พวกเขาต่างก็คุกเข่าคารวะหลินเฟยโม่
“ข้าน้อยเป็นบ่าวรับใช้ของจวนเสนาบดีกรมคลัง ใต้เท้าหลี่ให้ข้าน้อยมาที่นี่เพื่อแจ้งนายน้อยหลินโดยเฉพาะ ตอนนี้เป็นช่วงเตรียมการศึก งานราชการรัดตัวนัก ใต้เท้าหลี่ไม่อาจปลีกตัวมาได้จริง ๆ ขอรับ นายน้อยหลินโปรดอย่าได้ตำหนิ”
“คารวะนายน้อยหลิน ข้าน้อยเป็นบ่าวของจวนผู้ช่วยเสนาบดีกรมขุนนาง มาที่นี่เพื่อแจ้งให้ท่านทราบว่า วันนี้ผู้ช่วยเสนาบดีและใต้เท้าเสนาบดีกรมขุนนาง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศาลไท่ฝู่ ทุกท่านมีนัดหมายไปออกตรวจตรา ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงขอรับ”
“นายน้อยหลินโปรดอภัยด้วย ใต้เท้าของข้า…”
ดูเหมือนว่าบรรดาขุนนางในเมืองหลวงจะพร้อมใจนัดหมายกันเอาไว้ ถ้าไม่ติดงานราชการ ก็ไม่อยู่ในเมืองหลวง และยังมีคนที่ ‘ลาป่วย’ อีกไม่น้อย
สีหน้าของหลินเฟยโม่น่าเกลียดมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาเริ่มพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
ก่อนหน้านี้หลินเฟยโม่กลับเมืองหลวงหลายครั้งหลายครา ขุนนางในเมืองหลวงถ้าไม่เขียนจดหมายทักทายเข้ามา ก็จะส่งลูกน้องหรือลูกศิษย์มาเยี่ยมเยียน เมื่อหลินเฟยโม่พูดออกมาหนึ่งประโยค อย่าว่าแต่บุตรหลานในเมืองหลวงเลย แม้แต่ขุนนางทั้งหกกรมก็ยังสั่นสะท้าน…
แต่การกลับเมืองหลวงครั้งนี้ เขาพบว่าทิศทางของราชสำนักกลับตาลปัตรไปหมดแล้ว
พอขุนนางเหล่านี้ได้ยินว่าบุคคลที่ขัดแย้งกับหลินเฟยโม่คือฉินเฟิง พวกเขาก็ขายผ้าเอาหน้ารอดเช่นนี้ ความเคารพยำเกรงก่อนหน้าหายไปไหนหมดสิ้นแล้วกระมัง?
แม้ว่าหลินเฟยโม่จะไม่เคยสนใจสายสัมพันธ์อันใด แต่ก็ไม่เคยตกอยู่ภายใต้ความอับอายเช่นนี้มาก่อน
เพราะอย่างไรเสีย…
ตราบใดที่ท่านป้าและท่านปู่ยังอยู่ที่เมืองหลวง ขุนนางในเมืองหลวงต่างก็ต้องหน้าซีดเมื่อพูดถึงตระกูลหลิน
แปลกจริง!

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ