บทที่ 189 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ
ฉินเฟิงโบกมือให้หนิงหู่และคนอื่น ๆ พาพรรคพวกออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงพูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “จวิ้นจู่ เรื่องเข้าใจผิด ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด!”
เดิมทีฉีหยางจวิ้นจู่แค่ต้องการขู่ฉินเฟิง อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงกำลังจะแต่งงานกับเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ เห็นแก่เพื่อนสนิทของนาง นางจะไม่ทำให้เขาลำบากใจมากเกินไป
แต่สถานการณ์กลับถูกหนิงหู่และสวีโม่ทำให้วุ่นวายใหญ่โต ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางพลันมืดครึ้ม “เข้าใจผิดบ้านเจ้าสิ! ฉินเฟิง เรื่องนี้ร้ายแรงมากนัก! ข้าจะกลับไปที่วังและแจ้งให้ฝ่าบาททราบเรื่องนี้ พวกเจ้ามุ่งโจมตีเชื้อพระวงศ์ กระทำการหยาบคายใส่ข้าอย่างบ้าบิ่น ข้าจะรอดูว่าฝ่าบาทจะจัดการเจ้าอย่างไร!”
เฮ้ย! นี่มันเรื่องอะไรกัน!
ฉินเฟิงก้าวเร็ว ๆ สองก้าว เขารีบหยุดฉีหยางจวิ้นจู่เอาไว้ และเลือกใช้คำพูดดี ๆ เอ่ยอย่างนอบน้อม “ตราบใดที่จวิ้นจู่เข้าใจไม่ถือสา ไม่ว่าความต้องการของท่านคืออะไร ข้าน้อยล้วนรับปาก!”
ฉีหยางจวิ้นจู่เริ่มสนใจข้อเสนอ นางทำทีเลิกคิ้ว “เจ้ายินดีรับทุกคำขอจริงหรือ?”
ในเวลานี้ฉินเฟิงไม่มีหนทางรอดให้ต่อรอง เขาจึงทำได้เพียงกัดฟันยอมเสียเปรียบ “มิกล้าหลอกลวงจวิ้นจู่”
รอยยิ้มชั่วร้ายผุดขึ้นที่มุมปากฉีหยางจวิ้นจู่ “เอาล่ะ คืนนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงบนเรือ ถ้าเจ้ามา เหตุการณ์โจมตีเชื้อพระวงศ์เมื่อครู่จะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น ส่วนลูกแก้วหลิวหลีที่สัญญาไว้ ข้าจะให้เวลาเจ้าอีกสองสามวัน ไม่เช่นนั้นก็รอดูผลที่ตามมาได้เลย!”
จะไปล่องเรือ?!
ฉินเฟิงพึมพำอยู่ในใจ มีเพียงคนเสเพลอย่างเขาเท่านั้นที่จะไปสถานที่ซึ่งมีกลิ่นควันบุปผาและตรอกต้นหลิว ไม่ต้องพูดถึงกายาสูงค่าของจวิ้นจู่ อีกฝ่ายเป็นสาวเป็นนาง จะไปสถานที่แบบนั้นเพื่ออะไร? หรือว่านักปราชญ์เมามายหาได้มาจากสุรา*[1] แต่เป็นการนัดพบกับองค์ชายรองและองค์ชายเจ็ด?
ช่างเถอะ!
คิดเสียว่าคราวเคราะห์ หากเป็นคราวเคราะห์ถึงอย่างไรก็หลบไม่พ้น
เมื่อเห็นฉินเฟิงรับปาก ความโอหังของฉีหยางจวิ้นจู่ก็สงบลงในที่สุด นางปราดตามองค่ายฝึกซ้อมที่กำลังก่อสร้างด้วยสีหน้ารังเกียจ “ทำเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ตลอดทั้งวัน หากมีเวลาว่างเช่นนี้ เจ้าไม่อ่านหนังสือเพิ่มสักหน่อยเล่า? โตขนาดนี้แล้ว แต่ไม่มีตำแหน่งขุนนางด้วยซ้ำ ไม่รู้จักความก้าวหน้าเลยจริง ๆ!”
ฉินเฟิงรู้ว่าเขาไม่อาจทำให้ ‘คุณป้า’ ท่านนี้ขุ่นเคืองได้ และคร้านจะอธิบายให้มากความ เขาจึงได้แต่ยิ้ม ทำทีใจดีสู้เสือ
เมื่อนายน้อยฉินส่งฉีหยางจวิ้นจู่จากไป แม้ว่าควรจะหงุดหงิด แต่ฉินเฟิงกลับอารมณ์ดีมาก
ก่อนหน้านี้เขายังคงคิดถึงวิธีรับมือกับการแก้แค้นของหลินเฟยโม่
ท้ายที่สุดแล้วเมื่อคนของกุ้ยเฟยและไท่เฟยถูกรังแก เรื่องนี้คงไม่อาจปล่อยผ่านไปง่าย ๆ
กระทั่งเมื่อฉีหยางจวิ้นจู่มาสร้างความยุ่งยากเช่นนี้ ฉินเฟิงก็มีความคิดดี ๆ ขึ้นมาทันที!
แต่ตอนนี้ฉินเฟิงไม่มีกะจิตกะใจจะนอนอีกต่อไป ใครจะรู้ว่าสัตว์ประหลาดชนิดใดจะมาหาเขาอีก ชายหนุ่มจึงหันหลังกลับจวน
กว่าจะกลับถึงจวนก็เป็นยามเย็นแล้ว
ในจวนยังคงมีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยผู้คน
แขกบางคนที่ออกจากโต๊ะก่อนเวลา เมื่อเห็นฉินเฟิงกลับมา พลันก็ตะโกนขึ้นทันที “นี่ไม่ใช่นายน้อยฉินหรอกหรือ?”
“ฮ่า ๆๆ นายน้อยฉิน ท่านไปอยู่ที่ไหนมา?”
ด้วยเสียงตะโกนดังกล่าว แขกจำนวนมากได้ยินข่าวก็วิ่งกรูกันออกมา
ฉินเฟิงกลัวจะถูกดึงเข้าไปในวง เขาจึงหันหลังกลับ วิ่งหนีไป จากนั้นก็เข้าไปทางประตูหลังของจวน และตรงไปที่เรือนของตนเอง
“เสี่ยวเซียงเซียงรีบลงกลอนประตูเรือนเร็ว! ไม่ว่าใครจะมาก็บอกพวกเขาว่าข้าไม่สบาย วันนี้ไม่สามารถรับแขกได้”
เสี่ยวเซียงเซียงลงกลอนประตู แล้วหันกลับเข้าไปในห้อง เมื่อนางเห็นฉินเฟิงซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “แปลกจริงเชียว ผู้อื่นใช้ทุกวิถีทางเพื่อจะเข้ามาเชื่อมไมตรีด้วย แต่นายน้อยบ้านเรากลับดีนัก กลัวพวกเขาราวกับเห็นเสือ”
สำหรับเรื่องเส้นสาย มันไม่เกี่ยวกับว่าจะมีคนมากหรือน้อย แต่เกี่ยวกับการกลั่นกรอง แค่พิจารณาคนที่ใช้ได้จริงมาผูกมิตรก็เพียงพอแล้ว
ฉินเฟิงสามารถเดินไปในเมืองหลวงได้โดยอาศัยแค่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฮ่องเต้เท่านั้น
บัดนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะประจบประแจงผู้อื่น แต่เป็นเวลาที่คนอื่น ๆ ควรจะประจบประแจงเขา
ชายหนุ่มซ่อนตัวอยู่บนตั่งเกือบหนึ่งชั่วยาม
หลังจากยืนยันแล้วว่าจะไม่มีใครแวะมาเยือน ฉินเฟิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
คนกลัวชื่อเสียง หมูกลัวอ้วน*[2] คนโบราณไม่เคยหลอกข้า



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ